(fic) seobkwang – i hate u, i love u

Title: i hate u, i love u

Pairing: YangYoseob x LeeGikwang

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : เราชอบพิมพ์ไปแล้วคิดชื่อไม่ออกเลยได้ชื่อเห่ยๆแบบนี้แหละค่ะ / เวลาอ่านเรื่องไหน แม้แต่เราแต่งเองอีกีกวังกับยังโยซอบมักจะเป็นเพื่อนกันเสมอ ถ้าไม่ละ…แต่งเยอะกว่าแต่งจุนกวังอีกค่ะ ร้องหั้ย5555555 18 หน้าค่ะ5555555555555555555555555

 


 

 

ยังโยซอบ ปี3 เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักจากมหาวิทยาลัยศิลปะKK ทั้งทักษะการร้องเพลงที่ยอดเยี่ยมจนใครก็อยากได้ร่วมวงด้วย คะแนนด้านการเรียนที่อยู่ในระดับท็อป3 ของสาขาร้องเพลง บุคลิกที่เย่อหยิ่งกลับทำให้ใครต่อใครก็ยอมอยากจะเป็นทาสของยังโยซอบทั้งนั้น

 

“เฮ้ ขอนั่งด้วยคนสิครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นตรงหน้าของโยซอบเอง วันนี้เป็นอีกวันที่เขากับเพื่อนมาหาอะไรทำแก้เบื่อด้วยอำนาจเงินของพ่อแม่แล้วเรื่องการเข้าสถานบันเทิงทุกวันไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว ถ้าหากเขายังสามารถรักษาการเรียนได้เป็นอย่างดี

 

คนตัวเล็กเผลอมองอีกคนเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางเมื่อรู้ว่าอีกคนเป็นใคร

 

ยงจุนฮยอง ลูกชายเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนี้และยังรวมไปถึงอีกสามสี่ที่ตามจังหวัดต่างๆ เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง ถึงอย่างนั้นใครหลายคนก็ยังยอมที่จะได้นอนบนเตียงห้องวีไอพีชั้นบนสุดของโรงแรมแห่งนี้ที่จุนฮยองเองก็เป็นเจ้าของอยู่

 

ชายหนุ่มที่มาด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายที่เปิดให้เป็นรอยสักตรงหน้าอกกับกางเกงยีนส์สีดำนั่งลงข้างๆกับเขา โต๊ะวีไอพีที่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆเขาจะทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแล้วไปที่ฟลอร์เต้นกันหมด

 

“มากันเยอะหรอครับ” เมื่อเห็นว่าโต๊ะวีไอพีของโยซอบแทบจะเหมือนมากันสิบถึงแปดคนได้

 

“ไม่หรอกครับมากันสี่คนเอง” มือเล็กจับแก้วของตัวเองที่ยังมีน้ำสีอำพันมาจิบก่อนจะเท้าคางมองอีกคนเล็กน้อย

 

“แล้วตอนนี้เพื่อนไปไหนหมดละครับ” จุนฮยองค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับอีกคน จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ข้างหูจนโยซอบรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกคน

 

“อื้ม อย่าทำแบบนี้สิครับ” เขาทำเป็นเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยก่อนจะถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เขยิบตัวที่แทบจะเกยขึ้นตักอีกคนให้ห่างเลย

 

“พรุ่งนี้มีเรียนเช้ามั้ยครับ”

 

“อือ ถึงมีผมก็ตื่นทันครับ”

 

แต่ก่อนที่จะได้ไปถึงไหนต่อไหนเสียงฮือฮาจากฟลอร์เต้นชั้นล่างก็เปลี่ยนความสนใจของคนทั้งสองคนแทน

 

“กีกวังมาหรอ”

 

“ใช่เห็นว่าเต้นอยู่ข้างล่างแหนะ” เสียงพูดคุยที่เดินผ่านโต๊ะของพวกเขาไปทำให้โยซอบเลิกคิ้วเล็กน้อย

 

อีกีกวังมาทำอะไรที่นี่

 

อีกีกวัง นักศึกษาชั้นปีเดียวกับเขาแต่คนละสาขา ชายหนุ่มที่ได้รับเลือกให้แสดงงานของคณะทุกปี ดาวเด่นของสาขาการแสดง บวกกับความสามารถในการเต้นและการเล่นกีฬาที่ไม่ธรรมดาทำให้เจ้าตัวมีคนรายล้อมอยู่พอสมควร รอยยิ้มหวานและความอัธยาศัยดีที่ให้ใครๆก็อยากเข้าใกล้

 

เขาว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

 

เหมือนกับยังโยซอบกับอีกีกวัง

 

ทุกคนอยากเข้าใกล้แต่ไม่ใช่ยังโยซอบคนนี้ เขาเกลียดรอยยิ้มและตายิ้มของอีกีกวัง

 

แสแสร้งซะไม่มี

 

เพราะแบบนั้นไม่ว่าที่ไหนจะคลับหรือผับแทบจะไม่มีทางที่กีกวังกับโยซอบจะมาที่เดียวกันได้ ยกเว้นคืนนี้ที่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะใจตรงกันมาที่นี่

 

“พี่เข้าตัวแปปนะครับ” อยู่ๆจุนฮยองก็ขอตัวไป เขาพอจะรู้ว่าอีกคนไปไหนจนเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

ใครๆก็อยากเห็นกีกวังเต้นทั้งนั้น

 

 

ไม่ใช่แค่ท่วงท่าที่ทำให้ชวนมองแต่เป็นสายตาของอีกคนที่เหมือนกำลังยั่วยวนให้เดินเข้าไปลูบไล้ส่วนต่างๆในร่างกายของอีกคน แม้ว่าอีกคนจะใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสกินนี่ยีนส์สีดำก็พอจะทำให้รู้สึกเซ็กซี่ได้

 

หลังจากเต้นเสร็จเขาก็เดินมาหาเพื่อนๆที่ตรงเคาท์เตอร์เป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่เครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์จะส่งมาให้เขาโดยเฉพาะ

 

“ผมไม่ได้สั่งนี่ครับ” กีกวังทำหน้างงเมื่อบาร์เทนเดอร์ยังคงยืนยันว่าเป็นของเขาจริงๆ เขาเป็นประเภทเที่ยวแต่ไม่ดื่มเท่าไหร่ เพื่อนๆก็พอจะรู้อยู่ว่าลิมิตเขาอาจจะแค่คอกเทลสองแก้วซะด้วยซ้ำ แต่นี่คอกเทลที่ดีกรีค่อนข้างแรงถูกส่งมาตรงหน้าเขา

 

“ผมสั่งให้เองครับ” จุนฮยองเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะประจันหน้ากับอีกคน กีกวังยิ้มหวานให้พลางเอ่ยขอบคุณก่อนจะจิบเล็กน้อยเพื่อมารยาท แต่พออีกคนเลิกคิ้วให้เป็นเชิงวันช็อตเขาถึงจำใจดื่มให้หมด

 

“ไม่คิดนะครับว่าแค่ไปเต้นก็ได้ของฟรีซะแล้ว” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยทีเล่นทีจริงให้เจ้าของที่แห่งนี้ จุนฮยองยิ้มกลับเล็กน้อยขยับตัวเองมาใกล้ๆแล้วกระซิบข้างหูอีกคน

 

“ทำไมไม่ลองมาเต้นให้ผมดูแบบส่วนตัวบ้างละครับ” กีกวังยิ้มตาหยีให้ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปเป็นอย่างอื่นบ้างก่อนจะชวนอีกคนไปที่ฟลอร์เต้นอีกครั้ง จนไม่แน่ใจว่าจุนฮยองหรือกีกวังกันแน่ที่โชคดีมากกว่ากัน

 

 

“กลับดีๆละ” กีกวังโบกมือลากับเพื่อนๆที่หน้าผับหลังจากที่เลยเวลามามาก เขาปฏิเสธที่จะขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของตึกวันนี้กับจุนฮยอง คงเพราะการซ้อมบอลวันนี้เล่นงานเขาจนพลังงานแทบไม่เหลือแล้วที่ไปเต้นบนฟลอร์นั่นก็เพราะเขาไปท้ากับเพื่อนไว้หน่ะสิ

 

“ดึงความสนใจของจุนฮยองมาจากโยซอบให้ได้” ก็แค่นั้น

 

“เว้ยทำไมมันเปิดไม่ได้ซักที” เสียงโหวกเหวกโวยวายจนกีกวังต้องหันไปมองก่อนจะพบคนที่เขาไม่ค่อยอยากจะเจอเท่าไหร่กำลังทะเลาะอยู่กับรถยนต์อยู่

 

ก็มันจะเปิดได้ไงในเมื่อมันคนละคันกันหน่ะ

 

เสียงจากรถยนต์ของเจ้าตัวยังทำงานได้ดีเพียงแต่เจ้าของดันยืนอยู่ผิดตำแหน่งไปซักหน่อย

 

พูดไปก็เท่านั้นเหมือนอีกคนจะเมาได้ที่แล้วกำลังทุบกระจกรถคนอื่นอยู่อย่างนั้น กีกวังเลยจำใจต้องไปช่วยในเมื่อเขาเหลียวมองแถวนี้มันเหลือแต่เขาแล้วจริงๆ

 

ก่อนที่กระจกนั้นจะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะแรงของคนเล่นมวยเป็นการออกกำลังกาย

 

“นี่ รถนายอ่ะคันนู้น” กีกวังคว้าข้อมืออีกคนไปยังรถของเจ้าตัวได้เรียบร้อยก่อนจะหมุนตัวกลับแต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเจ้าของรถคล้าแขนเขาไว้

 

ให้ตายสิ อีกคนมีแรงเยอะขนาดนี้เลยรึไง

 

“กีกวัง?”

 

“ก็ใช่หน่ะสิ”

 

“เหอะ” กีกวังขมวดคิ้วมองอีกคนที่แทบจะเอาหน้ามาชนเขาอยู่แล้ว อยู่ๆก็พ่นลมหายใจใส่เขาซะเฉยๆ เขาว่าสภาพแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าจะขับรถยังไง ถามว่าจะเข้ารถตัวเองได้มั้ยยังไม่รู้

 

 

“ฉันเกลียดนาย”

 

“รู้แล้ว” กีกวังตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจท้องถนนต่อไป ขอบคุณที่โยซอบเอาคีย์การ์ดคอนโดของตัวเองไว้ในกระเป๋ากางเกงพอดีกีกวังเลยพอจะรู้ว่าอีกคนอยู่ที่ไหน

 

ไปส่งถึงห้องก็พอ

 

คิดได้แค่นั้นก็ตั้งใจขับรถต่อไปแต่เหมือนคนที่นั่งข้างเขาจะเริ่มอยู่ไม่สุกเมื่ออีกคนเริ่มเร่งแอร์เพิ่ม จนเขาต้องเอามือขึ้นมาหยุดอีกคน ไม่ทันได้ชักกลับเจ้าตัวก็คว้ามือเขาไป

 

“ฉันเกลียดนายอีกีกวัง” แถมยังพูดกับฝ่ามือเขาอีกต่างหาก

 

“ทำไมถึงเกลียดฉันละ” จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงถูกอีกฝ่ายเกลียดแถมยังแสดงท่าทางว่าไม่แม้แต่อยากจะเฉียดใกล้เขา พอเป็นแบบนั้นเขาเองก็ไม่อยากมีปัญหาถึงได้พยายามไม่อยู่ใกล้วงโคจรของอีกคนเช่นกัน

 

“ตอนปี1 นายมองฉัน” กีกวังยังคงงุนงงว่าอีกคนต้องการพูดอะไร ยังโยซอบก็ยังพล่ามต่อไป

 

“นายมองฉันเหมือน”

 

“…”

 

“เหมือนกับขยะแขยง” โยซอบจำสายตาตอนนั้นได้ที่เขากำลังเล่นกับเพื่อนๆในสาขาเกี่ยวกับเพลงเซ็กซี่เพราะความสนุกเกินเหตุจนอะไรหลายๆอย่างมันเลยเถิดที่ห้องดนตรีนั้น บังเอิญกับที่กีกวังกำลังเดินผ่านจากการไปซ้อมกีฬามาพอดี สายตาที่บังเอิญสบกับเขา

 

สายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ขยะแขยง จนโยซอบเองก็หมดอารมณ์แล้วหนีกลับบ้านทันที

 

แม้เขาจะแปลกใจกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมยังเอาสายตาคู่นั้นเก็บมาคิด

 

“ฉันขอโทษแล้วกัน” นิ้วชี้ของเจ้าของรถทาบลงบนริมฝีปากอิ่มเป็นเชิงให้เงียบ

 

“แต่ช่างมันเถอะ” เพียงเท่านั้นบทสนทนาก็ไม่มีการต่อใดๆอีกจนกระทั่งถึงคอนโดของโยซอบ

 

 

“ยังโยซอบ”

 

“โยซอบ” เสียงที่ค่อยๆแทรกเข้ามาในโซนประสาทของเจ้าของชื่อ โยซอบค่อยๆลืมตาก่อนจะพบหน้าของกีกวังที่กำลังเรียกเขาอยู่

 

“ถึงคอนโดนายแล้วนะ” โยซอบพยักหน้าเชิงรับรู้ก่อนจะเดินไปทางประตูคอนโดทันทีจนลืมไปว่าคีย์การ์ดอยู่ที่กีกวังเอง

 

“ห้องอะไรชั้นอะไรเดี๋ยวไปส่งละกัน”

 

 

“เรียบร้อย” แทบจะเรียกว่าทุ่มอีกคนลงโซฟาแล้วเมื่อกีกวังสามารถพาคนเมาให้มาถึงเตียงได้ น้ำหนักที่แทบจะพอกันแถมอีกคนไม่คิดจะช่วยเขาลงแม้แต่น้อยเทน้ำหนักมาที่เขาฝ่ายเดียว ก็เหมือนเขากำลังแบกกระสอบน้ำหนัก50กว่าๆกิโลคนเดียวขึ้นมา

 

“ไปละนะ” กีกวังเอ่ยกับคนบนเตียงเหมือนจะสลบไปแล้วก่อนจะตัดสินใจกลับบ้านบ้าง พรุ่งนี้คงลาคาบเช้าอีกแน่ๆแบบนี้

 

หมับ

 

ไม่รู้ว่าอีกคนเอาแรงมาจากไหนมือของคนที่นอนอยู่คว้าที่ข้อมือกีกวังแล้วลากให้มานอนด้วยกันในสภาพที่ค่อนข้างล่อแหลมสำหรับกีกวังเอง เมื่ออีกคนกำลังเท้าแขนคร่อมเขาอยู่พลางหายใจรดเขา

 

กลิ่นแอลกอฮอล์จากอีกคนทำให้คนที่คออ่อนมึนได้ง่ายๆ กะจะถีบอีกคนให้ตกเตียงไปแต่ขาของโยซอบกำลังทาบลงจนขยับตัวแทบไม่ได้

 

“จูบกับนายแล้วจะเป็นยังไงกัน” ไม่ว่าเปล่าปากบางทาบลงปากอิ่มของกีกวังโดยทันทีเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ลิ้นของคนที่คร่อมอยู่สอดเข้าไปในโพรงปากของอีกคนได้โดยง่าย

 

ไม่เคยรู้ว่ายังโยซอบดื่มเก่งขนาดนี้

 

ไม่เคยรู้ว่ากีกวังจะเมาง่าย

 

ไม่เคยคิดว่าโยซอบจะจูบเก่งจนกีกวังเผลอไปกับสัมผัสนั้น

 

และไม่เคยคิดว่าคืนนั้นมันจะไปได้ไกลขนาดไหน

 

 

ปวดหัว อย่างแรกที่เขารู้สึกทันทีที่ตื่นขึ้นมาราวกับว่าทุกอย่างมันหมุนจนลุกแทบไม่ไหวแต่ถึงอย่างนั้นเสียงโทรศัพท์ที่แผดอยู่ทำให้เขาต้องคว้ามันมารับสาย

 

“ว่า”

 

/หืม? ยังนอนอยู่หรอ/ เสียงเพื่อนที่ทำให้เขาได้สติมาเล็กน้อยก่อนจะมองนาฬิกาบนหัวเตียงเล็กน้อย

 

08:45 น.

 

วันนี้เขามีเรียนเก้าโมงครึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มคาบทำให้โยซอบตื่นได้โดยทันที แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรเพื่อนเขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

 

/วันนี้งดนะ เจอกันบ่ายเลย/

 

“อื้มขอบใจนะ” แล้วก็วางสายไปพลางมองสภาพห้องรอบๆตัวที่ดูเละเกินกว่าจะบอกได้ว่าเขานอนคนเดียว แต่ไม่พบร่องรอยใครแล้วนอกจากเขาหรือแม้แต่อาการปวดสะโพกหรือรอยต่างๆ

 

หรือว่าเดี๋ยวนี้เขาจะเป็นคนนอนดิ้นกันนะ

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้มันไม่ใช่ของเขาเพราะเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือไม่แม้แต่จะสั่นเลย จนเขาลองงมดูตามด้านล่างเตียงเพื่อหาของ

 

“ฮัลโหล”

 

/คุณกีกวังครับ มึงจะโดดใช่มั้ยเนี่ยห้ะ/

 

กีกวัง? โยซอบเอาโทรศัพท์ห่างออกจากหูเล็กน้อยก่อนที่เครื่องจะปรากฏชื่อของคนที่โทรเข้ามายุนดูจุน เพื่อนสนิทของกีกวัง

 

แล้วโทรศัพท์ของกีกวังมาอยู่ที่นี่ได้ไง ความทรงจำของเมื่อคืนค่อยๆย้อนเข้าหัวเล็กๆของเขาราวกับหนัง

 

/ฮัลโหลๆ มึง?/ โยซอบกดวางทันทีแล้วพาตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย วันนี้เขาต้องได้เคลียร์กับกีกวังให้เรียบร้อย

 

 

“กีกวังอยู่มั้ย” แปลกใจ เรียกว่าโคตรแปลกสำหรับทุกคนเมื่อคนดังของสาขาร้องเพลงกำลังถามหาคนดังสาขาการแสดงที่ได้ข่าวว่าไม่ถูกกันแต่วันนี้กลับมาถามหากันซะดื้อๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครตอบได้จนโยซอบต้องถ่อตัวเองมาจนถึงห้องเปลี่ยนเสื้อนักกีฬามาหาดูจุน

 

“วันนี้มันคงไม่มาแหละมั้ง” ดูจุนตอบไปตามที่เขาคิดได้เพราะตั้งแต่เช้าก็ติดต่อไม่ได้เลยแถมยังโดดซ้อมแบบไม่บอกไม่กล่าวกันแบบนี้อีก ดูจุนเองก็กะว่าจะไปหาหลังเลิกซ้อมแล้ว

 

“บ้านกีกวังอยู่ไหน”

 

“ห้ะ?”

 

“ฉันลืมของไว้ที่เขา”

 

 

ปวดตัวจนแทบจะตาย

 

นั่นคือสิ่งที่กีกวังคิดได้อย่างเดียว เมื่อคืนเขาแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างจนนึกว่าฝันไปก็จนถึงตอนเช้ามืดที่เขาตื่นมาพร้อมกับโยซอบที่กอดเขาอยู่ อาการปวดสะโพกและรอยต่างๆตั้งแต่คอเขาจนถึงต้นขาบอกได้อย่างดีว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ฝัน

 

กีกวังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับโยซอบเลยแอบหนีกลับมาก่อนที่อีกคนจะตื่น

 

เอามาทุกอย่างยกเว้นโทรศัพท์

 

คิดแล้วก็อยากจะทึ้งหัวตัวเอง หวังว่าดูจุนเพื่อนรักจะไม่กินหัวเขาซะก่อนที่เขาโดดซ้อมนะ ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่มีแรงไปอยู่ดี

 

พูดแล้วก็เหมือนไข้จะขึ้นแล้วด้วย

 

“ซวยชิบหาย” บ่นแค่นั้นก่อนเสียงออดหน้าห้องจะดังขึ้น ดูจุนแน่ๆว่าแล้วก็ทำตัวให้ดูน่าสงสารไว้มันจะได้ไม่ตบกบาลเขาซะก่อน

 

“ดูจุนจ๋า คือกีกวัง- เห้ย”

 

ปัง

 

ยังโยซอบ

 

ไม่ใช่ดูจุนแต่เป็นโยซอบที่ยืนอยู่หน้าห้องเขา กีกวังลองกดจออินเตอร์คอมดูอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ตาฝาดเช่นเดียวกันโยซอบที่กำลังมองผ่านทางกล้องแล้วชูโทรศัพท์ในมือให้ดู

 

โอเคยังไงก็ต้องเปิดสินะ

 

“ไง” กีกวังทำแค่แง้มให้อีกคนเท่านั้นแต่เหมือนว่าโยซอบจะไม่พอใจถึงได้ดันประตูแล้วแทรกตัวเองเข้ามาจนได้

 

“ไง” กีกวังที่ยังคงอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่เมื่อคืนเพราะเจ้าตัวไม่มีแม้แต่แรงลุกไปไหนได้เลยนอนแหมะมันแอยู่ที่เตียงนั่นแหละ พอยิ่งเห็นว่าอีกคนเอาแต่จ้องสภาพเขากีกวังก็อายเกินกว่าจะทำอะไรได้เลยรีบคว้าโทรศัพท์มาแล้วลากอีกคนออกไป

 

“ขอบใจนะ ทีนี้นายก็กลับได้แล้-” แล้วอยู่ๆก็เหมือนว่าโลกหมุนแล้วค่อยๆมืดไปจนเขาจำอะไรไม่ได้หลังจากนี้

 

 

หอม

 

เหมือนกับโจ๊ก

 

ท้องแทบจะร้องเมื่อรู้ว่าเป็นกลิ่นอะไรอีกอย่างทั้งวันเขายังไม่ได้เอาอะไรลงท้องเลยก็มีความหิวเป็นธรรมดาติดตรงที่เขาขยับตัวแทบไม่ได้ ลืมตายังลำบากเลย

 

“ท้องร้องก่อนจะลืมตาอีกรึไง” เสียงใสที่คุ้นเคย คุ้นเคยงั้นหรอ

 

ตาใสค่อยๆกระพริบถี่ๆให้ชินกับแสงโคมไฟก่อนจะมองหน้าคนที่อยู่ข้างเตียงเขา ไม่ทันได้ตกใจอีกรอบหรือเพราะไม่มีแรงให้ตกใจกีกวังเลยทำเพียงแค่ทำเสียงอื้ออ้าในลำคอเท่านั้น

 

โยซอบค่อยๆช่วยให้อีกคนอยู่ในท่านั่งเพื่อที่จะได้ป้อนได้ถูก หลังจากที่อยู่ๆอีกคนก็เป็นลมหมดสติไปต่อหน้าก็ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกซักพักก่อนจะแบกอีกคนมาไว้บนเตียงพร้อมกับเช็ดตัวแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เขาก็เพิ่งรู้ว่ารอยบนตัวที่เขาทำไว้มันเยอะขนาดไหน

 

ลองโทรถามเพื่อนหมอที่รู้จักว่าควรทำยังไงได้ไม่ต้องถึงกับไปโรงพยาลบาลกัน

 

ตื่นมาก็สองทุ่มแล้ว

 

“อ่ะ”

 

“ห้ะ?” เมื่อก่อนที่จะได้กินอะไรสมใจโยซอบก็ยื่นโทรศัพท์มาให้คนป่วยก่อน ก่อนจะอธิบายว่าให้กีกวังโทรไปบอกดูจุน

 

“นายจะบอกว่าอยู่กับฉันก็ได้ถ้าอยากจะอธิบายต่อ” โยซอบพูดทิ้งท้ายให้กีกวังต้องกลอกตาเล่นๆระหว่างรอให้ดูจุนรับสาย

 

/เอ้ยมึงเป็นไงบ้างวะ/ น้ำเสียงเป็นห่วงทำให้กีกวังรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องโกหกอีกคน

 

“มึงคือกูไม่สบาย”

 

/ให้กูไปหามั้ย/

 

“ไม่ต้อง!” แทบจะทันทีจนปลายสายทำเสียงจิ๊จ๊ะว่าเขามีความลับปิดบังแล้วจะมาบุกบ้านเขาจนกีกวังต้องอธิบายว่าแค่ไข้เล็กน้อยตอนนี้ดีขึ้นแล้วขอพักผ่อนพรุ่งนี้คงหายดี

 

/เออๆ พรุ่งนี้ไม่ไหวไม่ต้องมานะมึง/

 

“ครับพ่อ”

 

/สัส แค่นี้/

 

“ฉันใส่เสื้อผ้าของนายได้ใช่มั้ย” โยซอบถามเมื่อคิดว่าวันนี้เขาคงไม่ได้กลับแน่ๆ ดีที่ขนาดตัวของพวกเขาแทบจะเท่ากันถึงได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า เมื่อเจ้าของห้องอนุญาตเขาเรียบร้อย

 

 

ผ่านมาเกือบเดือนหลังจากวันนั้นชีวิตของกีกวังก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก นอกจากการที่ทุกเช้าที่กีกวังมีเรียนตรงกับโยซอบก็จะมีรถมารับ วันไหนที่ไม่มีซ้อมเขาก็จะไปนั่งเล่นแถวๆสาขาดนตรีเพื่อรอโยซอบเลิกซ้อม วันหยุดสุดสัปดาห์โยซอบมักจะมานอนบ้านเขาแล้วตอนเช้าไปวิ่งรอบสวนสาธารณะด้วยกัน

 

ก็แค่นั้น

 

เรื่องราวที่แทบไม่มีใครรู้ จะบอกว่ารู้กันแค่สองคนก็ยังได้

 

“นี่” กีกวังเรียกอีกคนที่กำลังมองเขาเล่นเกมอยู่ด้วยการเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆกัน

 

“อืม”

 

“เป็นแฟนกันมั้ย”

 

“เอาสิ”

 

“งั้นเป็นแฟนกันแล้วนะ”

 

“อื้ม” ในเมื่อความรู้สึกและการกระทำทุกอย่างมันชัดเจนในตัวโยซอบก็คร้านที่จะต้องมาลังเลกับความรู้สึกแล้วเหมือนกัน

 

“รอบหน้าขอนะ”

 

“ไม่ได้เป่ายิ้งฉุบเหมือนเดิม” กีกวังได้แต่กลอกตาเล็กน้อย ก็รู้อยู่ว่าเขามันห่วยเรื่องนี้

 

THE END

 

 

 

(fic) Circle – before us

Title: before us

Pairing: Kim JunHyuk x Lee Hosoo (Kim Kangwoo x Lee Gikwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : แก้คำผิดแล้วนะคะๆ // อยากเขียนความงอแงของคุณจุนฮยอกต่ออีกเล็กน้อยค่ะ555

 


 

 

อีโฮซูจำช่วงที่จุนฮยอกกลับไปที่โลกเดิมเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ หลังจากที่เขาสบประมาทฝีมือการทำขนมของเจ้าตัว เขาก็ได้ขนมเดินทางมาไกลเพื่อมาหาเขาตลอด

 

ช่วงแรกมันถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา หลังจากที่ถามลูกทีมหรือเจ้าหน้าที่ก็บอกว่ามีคนฝากมาจากที่โลกเดิมมาให้โฮซูเองโดยเฉพาะ เพราะกลัวว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมเลยส่งไปตรวจสอบก่อน

 

“ไม่พบอะไรครับมีแต่”

 

“แต่?”

 

“แป้งด้านในยังไม่สุกดีครับ”

 

หลังจากนั้นเพียงห้านาทีเครื่องมือสื่อสารเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโวยวายของคนปลายสาย ทำเอาโฮซูเผลอขมวดคิ้วแล้วมองไปรอบๆ

 

/ทำไมไม่กินละ/

 

“คุณจุนฮยอก?” โฮซูขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจว่าอีกคนรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้กินมันเข้าไป ก่อนจะหันไปเจอกับกล้องวงจรปิดที่มุมห้อง

 

/พอดีฉันให้จองยอนทำให้หน่ะ/

 

“มันรบกวนความเป็นส่วนตัวของผมนะครับ” โฮซูได้แต่ถอนหายใจให้กับความเอาแต่ใจของอีกคนเมื่อเสียงปลายสายยังคงบอกว่าทีเมื่อก่อนยังมีชิพที่ฝังหัวให้แอบดูความทรงจำได้ แค่นี้ก็ทำเป็นบ่นและอีกมากมายที่เจ้าตัวสามารถหามาบ่นได้

 

โฮซูแอบยิ้มเบาๆก่อนจะวางเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะแล้วทำงานต่อถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้วางสายจากอีกคนง่ายๆ

 

ก็ดีเหมือนกัน เหมือนกับมีอีกคนอยู่ด้วย

 

/แล้วทำไมไม่กินละ/ วนกลับมาเรื่องเดิมที่จุนฮยอกยังไม่ได้คำตอบ เขาก็รู้ว่าคนตัวเล็กไม่ชอบกินขนมปังแต่รอบนี้เขาตั้งใจทำเพื่ออีกคนโดยเฉพาะก็น่าจะลงชิมบ้างให้คนทำได้ชื่นใจ

 

ตาใสคู่นั้นมองมาที่กล้องวงจรปิดก่อนจะชูขนมปังที่อยู่บนโต๊ะให้ดู

 

“ข้างในมันยังไม่สุกนะครับ”

 

 

 

นายไม่ชอบขนมปังใช่มั้ยละ ฉันเลยเอาคุกกี้มาให้แทน – จุนฮยอกของนาย

 

คิ้วของโฮซูแทบขมวดกันเป็นปมเมื่อมีคนส่งข้อความมาให้พร้อมมองไปที่ถุงคุกกี้ด้านหน้าเขา จุนฮยองของเขาอะไรกันละ พูดเองเออเองทั้งนั้น

 

ชิมสิ ชิม – จุนฮยอก

 

เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากการมองค้อนผ่านกล้องส่งไปให้อีกคนเท่านั้น แต่ก็ยอมเอื้อมไปกินมาชิมอยู่ดี

 

/ทำไมยังไม่กลับอีก/ ทันทีที่รับสายเสียงเข้มคล้ายกำลังจะดุเขาก็ดังขึ้น โฮซูหันไปมองนาฬิกาก่อนจะพบว่าตอนนี้มันเลยเวลาเลิกงานมาเกือบสามชั่วโมงแล้วแต่งานที่ยังกองอยู่แทบจะไม่ลดเลยไปให้ได้ชื้นใจเลย เขาแค่ไม่อยากต้องมาทำงานในวันหยุดที่จะถึงนี้เลยพยายามเคลียร์งานให้มากที่สุด

 

“อีกซักแปปครับ”

 

/ไม่ได้กลับเดี๋ยวนี้เลย/ โฮซูทำเสียงจิ๊ปากให้อีกคนที่ไม่ยอมฟังเขาเลยแม้แต่น้อย ทำได้แค่การมองผ่านกล้องอย่างโกรธๆแล้วเก็บข้าวของเพื่อเตรียมกลับบ้าน

 

 

แกร่ก

น่าแปลกเขาจำได้ว่าก่อนออกบ้านล็อคประตูไปแล้วแต่ตอนนี้มันล็อคไม่ได้ล็อค คนตัวเล็กหยุดชะงักลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะผงะเพราะคนด้านในชิงเปิดมาก่อน

 

“เข้ามาสิยืนบื้อทำไมหน้าบ้านตัวเอง”

 

“คุณจุนฮยอก?” ทันทีที่ประตูบ้านของโฮซูเปิดก็พบคนตัวสูงในชุดผ้ากันเปิ้อนออกมาต้อนรับ ก่อนจะจัดแจงยื้อแย่งของที่โฮซูถือไปเก็บเอง

 

 

“มาทำไมครับ” กับข้าวตรงหน้าไม่น่าดึงดูดเท่าจุดประสงค์ของอีกคน แต่จนแล้วจนรอดจุนฮยอกก็ให้เจ้าของบ้านกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วจะพูด ย้ายทั้งตัวเองและคนตัวเล็กไปที่โซฟา

 

“คืองี้” โฮซูขมวดคิ้วมองอีกคนที่เอาแต่หลบตาเขาแถมยังเกาท้ายทอย เหมือนกับ

 

“จะสารภาพรักผมรึไงครับ”

 

“เฮ้ย รู้ได้ไง!” ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่ออีกคนพูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาแต่แก้มใสค่อยๆขึ้นริ้วแดงบ่งบอกอาการเขินของอีกคน

 

“ฉันมาคิดๆดูแล้วละ” เขาไม่ปล่อยให้โอกาศต้องหายรีบรวบมืออีกคนไว้ในกุมมือของเขาเองก่อนจะพูดต่อไปโดยที่ต่างคนต่างไม่หลบสายตากันอีกต่อไป

 

“ตอนแรกฉันคิดว่าฉันเอ็นดูนายเหมือนน้องชาย”

 

“…”

 

“แต่พอได้กลับไปแล้ว ฉันก็รู้ว่าฉันอยากได้นายมาอยู่ข้างๆกาย”

 

“…”

 

“แบบที่ไม่ใช่พี่น้อง”

 

“แล้วแบบไหนละครับ”

 

“โว้ย อย่าเร่งดิเขินอยู่” มือที่ใหญ่กว่าเผลอออกแรงที่มือมากไปจนคนตัวเล็กทำคิ้วขมวด

 

“โทษทีๆ”

 

“มาอยู่ข้างๆกายฉันแบบคนรักได้มั้ยแล้วเข้ามาอยู่ในหัวใจฉันได้มั้ย” คำสารภาพที่ดูน้ำเน่าเกินกว่าที่โฮซูจะเชื่อว่าอีกคนจะคิดเองแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศตอนนี้เท่าไหร่

 

“ขอกอดหน่อยได้มั้ยครับ” จุนฮยอกแทบกระชากอีกคนมาเขย่าว่าใช่โฮซูจริงๆมั้ยเมื่ออีกคนพูดว่าขอกอดเขาหน้าตาเฉย แม้จะหูแดงไปแล้วแต่หน้าที่ยังนิ่งจนเขาเดาไม่ออกว่าจะมาไม้ไหน เป็นจุนฮยอกเองที่รั้งให้อีกคนมาใกล้ๆแล้วกอดไว้โดยที่หัวสีดำสนิทของอีกคนอยู่ที่อกเขาพอดี

 

“ไม่รู้รึไงครับผมขอให้คุณอยู่กับผมตั้งนานแล้ว”

 

“…”

 

“ตอนนั้นผมเศร้ามากนะ”

 

“ก็ตอนนั้นฉะ-” นิ้วชี้ของคนในอ้อมกอดทาบลงบนริมฝีปากเขาพร้อมหน้าดุๆที่เขามองเปลี่ยนไปเองรึป่าวว่าเหมือนแมวน้อยโดนขัดใจชัดๆ

 

“แต่คุณเล่นส่งขนมมาให้ผมตัดใจไม่ได้ซักที”

 

“…”

 

“ก็ขอรับคำขอไว้แล้วกันครับ”

 

THE END

(fic) Circle – 15yr.

Title: 15yr.

Pairing: Kim JunHyuk x Lee Hosoo (Kim Kangwoo x Lee Gikwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : มาแบบสั้นๆไม่มีอะไรเลยค่ะ อยากเขียนคนแก่งอแงเฉยๆ555 ตามเนื้อเรื่องเลยค่ะจุนฮยอก41 โฮซู26 ห่างกันเกิน1รอบอีกค่ะ คนแก่กับเด็กน้อยชัดๆ

 


 

 

เขาบอกว่าคบคนแก่แล้วสบายใจไม่ไม่งอแง อีโฮซูเริ่มคิดว่ามันค่อนข้างจะผิดพลาด ในเมื่อคิมจุนฮยอกไม่ใช่แบบนั้นเลย

 

อย่างเช่นตอนนี้

แสงไฟจากเครื่องมือสื่อสารทำให้เขานึกรำคาญใจจนต้องคว่ำหน้ามันลงก่อนจะตั้งใจทำงานต่อไป เพียงไม่น่าจะการส่งข้อความเปลี่ยนมาเป็นการโทรหา จนเขาต้องกลอกตาก่อนรับสาย

 

“ไม่เป็นอะไรครับพี่” ลูกทีมเขาเอ่ยบอกเมื่อเขาทำท่าเกรงใจไม่อยากจะรับ โฮซูเลยตัดสินใจเดินออกจากห้องที่ทำงานมารับโทรศัพท์

 

“วันนี้ผมเลิกดึกก็บอกแล้วนี่ครับ”

 

/โฮซู/ เสียงที่ตอบกลับมากลับไม่ใช่เสียงทุ้มที่คุ้นหู กลับเป็นเสียงของคุณหมอสาวแทนทำให้โฮซูต้องแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่ขาเล็กจะวิ่งออกจากที่ทำงานเพื่อไปที่โลกเก่าทันที โดยไม่ลืมลางานไว้กับลูกทีม

 

 

 

/บอมกยุนหน่ะ เอ่อ จุนฮยอกตกบันได/ เสียงสั่นเครือที่มาตามสายทำให้เขาอดห่วงไม่ได้จนต้องรีบทิ้งงานมาดูคนที่ตกบันไดว่าเป็นหนักแค่ไหน

 

ก่อนที่พบกับสภาพที่แขนข้างขวาถูกเข้าเฝือกไว้ขาข้างเดียวกันพันด้วยผ้าก๊อตซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเท้าพลิก ยังไม่รวมถึงที่หัวของอีกคนก็ถูกผ้าก๊อตพันไว้

 

“ทำยังไงถึงตกละครับ” หลังจากอยู่กับสองคนเขาก็มีโอกาสได้เปิดปากถามซักที คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ทำท่าเบ้ปากให้ทันทีที่โฮซูทำท่าเหมือนแม่กำลังจะดุลูก

 

“ก็คิดถึงนายไง” ไม่เวิร์กเว่ย ไหนอูจินบอกว่าพูดหวานๆไปแล้วจะหายไง

 

“เอาความจริงครับ”เสียงที่เข้มขึ้นทำให้จุนฮยอกเผลอกลืนน้ำลายอย่างช่วยไม่ได้ เอาว่ะยังไงก็ต้องบอก

 

“พี่เล่นโทรศัพท์ตอนลงบันไดอ่ะ” ตาใสที่มีชั้นตาไม่เท่ากันของอีกคนที่เขาชอบค่อยๆเบิกกว้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ แล้วเดินออกไปจากห้องไปพร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวกลับมา

 

แปลก

 

เป็นห่วงด้วย

 

คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อคนเป็นแฟนอย่างโฮซูยังไม่กลับมาซักที ไหนบอกว่าแปปเดียวไง ได้แต่กระฟัดกระเฟียดคนเดียวเพราะตำแหน่งของเครื่องมือสื่อสารมันอยู่ค่อนข้างไกลเกินกว่าเขาจะไปเอามาได้ สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่รอ

 

รู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าแล้ว

 

“กลับบ้านกันครับ” แขนเล็กกว่าเขาค่อยๆจับแขนเขาพาดไหล่แล้วเอื้อมมาโอบเอวไว้ช่วยพยุง แม้อีกคนจะตัวเล็กกว่าเขาพอสมควรแต่ใช่ว่าจะอ่อนแอเสียที่ไหน เขาค่อยๆมองไล่ตามใบหน้าของอีกคนขอบตาคล้ำจนสังเกตได้แต่จุนฮยอกก็เลือกที่จะเก็บคำถามไว้ไปถามที่บ้านแทน

 

 

“หายไปไหนมา” ทันทีที่ถึงบ้านเขาก็ยิงคำถามใส่ทันทีก้นยังไม่ทันแตะโซฟาดีด้วยซ้ำ ขอบคุณที่เท้ายังแค่พลิกเขาเลยจัดการล็อคตัวเองคนให้มาใกล้ๆเขา

 

“ไปทำงานมาครับ”

 

“อะไรอ่ะแฟนป่วยยังทำงานอีก” ให้ตายถึงคนต่อหน้าเขาคนคือที่แก่กว่าเขาเกินสิบปีแต่ทำตัวเด็กไปไหน

 

“ก็ทำให้เสร็จแล้วมาดูแลพี่ไงครับ” โฮซูยอมทิ้งตัวเองลงบนอกของอีกคนที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาก่อนหน้าแล้ว กลุ่มผมสีดำถูกลูบไล้ไปมาจากเขาเองก่อนจะกดจมูกลงบนกลุ่มผมของอีกคน

 

“โฮซู”

 

“ครับ?”

 

“สระผมบ้างยัง” แน่นอนว่าเขาได้กำปั้นหนักลงบนอกจนต้องร้องอั้กสมใจอยาก

 

 

“15 ปี”

 

“หืม” เมื่ออยู่ๆโฮซูที่กำลังเป่าผมให้จุนฮยอกก็พูดขึ้น

 

“ก็เราสองคนไงครับ”

 

“ให้ตายสิฉันแก่ขนาดนั้นเลยหรอ” คนตัวเล็กไม่ตอบทำเพียงแค่พยักหน้าให้รัวๆเท่านั้น

 

“ถ้ารู้ตัวว่าแก่ก็ดูแลตัวเองหน่อยสิครับ ร่างกายไม่ได้แข็งแรงมากแล้วนะ” เป่าผมเสร็จโฮซูก็พยุงอีกคนให้ขึ้นบนเตียงแล้วจัดแจงที่นอนให้เรียบร้อย มือซ้ายที่ว่างอยู่ก็ตบปุๆข้างตัวให้อีกคนขึ้นมานอน

 

“กอดหน่อยสิฉันป่วยอยู่นะ”

 

“ไม่ป่วยก็กอดไม่ใช่หรอครับ”

 

โฮซูยังคงเป็นโฮซูคนเดิมที่ชอบพูดอะไรตรงๆ เมื่อก่อนดูกวนประสาทใช้ได้แต่เดี๋ยวนี้แล้วโฮซูสำหรับจุนฮยอกคือแมววัยรุ่นที่อยากได้อิสระในการชีวิตและการกลับมานอนบ้านอุ่นๆพร้อมกับการอ้อนเขาแบบฉบับเจ้าตัวเอง

 

แม้จะไม่ชอบขนมปังในตอนแรกแต่เดี๋ยวกลับเป็นคนบอกเขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้กินแล้ว

 

อายุที่ห่างกันเกิน1รอบ โฮซูเองก็ไม่เคยทำว่าเขาเป็นคนแก่อะไรยังคงพาเขาไปทุกที่ที่อยากไปรวมถึงทำกิจกรรมทุกอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ ก็นะหลับไปซะนานแอบเสียดายช่วงนั้นเล็กน้อย แต่ก็นึกขอบคุณถ้าหากตอนนั้นเขาไม่ได้หลับยาวแบบนั้นเขาจะยังเจอเด็กน้อยอย่างโฮซูอยู่มั้ย

 

จุนฮยอกกดจมูกลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทที่อยู่ในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง

 

“ฝันดีครับอีโฮซู”

 

(fic) junkwang – 위험해

Title: 위험해

Pairing: JunKwang (Junhyung & Gikwang)

Rate: nc-15

Author: red.bunny

NOTE : ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ เดี๋ยวจะตามมาอีดิทอีกรอบ // ไม่รู้จะให้เรทยังไงดีเพราะมันเรทแค่ช่วงแรกเอ้งงงง นอกนั้นใสๆค่ะ

NOTE(2) : แก้คำผิดน่าจะเรียบร้อยแล้วค่ะ55555 / ความจริงคือเราอยากแต่งฟิคของเพลงนี้นานมากแล้วแต่เพิ่งได้มีอารมณ์ในการแต่ง เรื่องหน้าถ้าโฮซูไม่ตายเจอกันกับจุนฮยอกxโฮซู ค่ะ

———————————————————————————————————————-

 

ร่างของสองคนกำลังขยับร่างกายตามจังหวะที่ควรจะเป็น เสียงหอบหายใจที่บ่งบอกบอกถึงความต้องการดังขึ้นข้างหูของเขา สะโพกสอบกระแทกถี่ขึ้นส่งผลให้ปากอิ่มที่คลอเคลียอยู่ข้างหูเขาครางเสียงออกมา ก่อนที่เขาจะได้ปลดปล่อยพลางถอนออกจากตัวอีกแล้วดึงคอนด้อมของตัวเองอีก

 

“ร้อนชะมัด” เสียงอีกคนบ่นพึมพำทันทีที่เสร็จภารกิจเครื่องปรับอากาศในห้องยังคงทำงานเต็มประสิทธิภาพของมันแต่คงเป็นกิจกรรมที่พวกเขามากกว่าทำให้ต้องการความเย็นมากกว่านี้

 

“เดี๋ยวก็หายร้อนแล้ว” ริมฝีปากเขายังไม่เลิกที่จะคลอเคลียอยู่ตามซอกคอขาวของอีกคนแม้ว่าเขาจะอยากทำรอยมากแค่ไหนแต่อีกคนก็ห้ามเขาไว้อยู่

 

‘ที่ไหนก็ได้ยกเว้นคอ’

 

เพราะงั้นตั้งแต่หน้าอก หน้าท้อง หลังสวยไปจนถึงต้นขาของอีกคนก็เต็มไปด้วยรอยที่เขาทำไว้ ไม่ได้ต้องการจะแสดงความเป็นเจ้าของแต่เขาเพียงอยากจะบอกว่าเจ้าตัวถูกใจเขามากขนาดไหน

 

“พรุ่งนี้จะมามั้ย” คนที่หันหลังให้ตอบเสียงอืออึงในลำคอจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกคนตัดสินใจแบบไหน นาฬิกาในโทรศัพท์เขาบอกเวลาตีสามแล้วเขาก็ควรนอนบ้าง

 

แต่เมื่อนาฬิกาหมุนมาที่สิบโมงเช้าของอีกวันเขาก็ไม่พบอีกคนอยู่ในห้องแล้วพอเขาไปเช็ตเอ้าท์ออกโรงแรมก็พบว่าอีกคนออกไปตั้งแต่แปดโมงเช้าแล้ว

 

 

“ไงครับเมื่อวาน” สองทุ่มกว่าที่เดิมกับเมื่อวานเมื่อเขาเดินมาหาเพื่อนในกลุ่ม เขาทำเพียงแค่ยกนิ้วให้ว่าดีจริงก่อนจะสั่งเครื่องดื่มของตัวเอง

 

“แล้วชื่อไรวะ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก็จะทำหน้าครุ่นคิดซักพัก

 

“ไม่รู้วะ ไม่ได้ถาม”

 

“เชี่ยแสดงว่าเมื่อวานหนักจริง” เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย กว่าที่จะสร่างเมาก็ตอนที่เสร็จแล้วจะมาถามไถ่ชื่ออีกคนก็คงไม่มีแรงตอบเขาแน่ๆ ตอนเช้าก็ตื่นไม่ทันอีกคนอีก

 

“พรุ่งนี้มีนัดหรอวะกินเบาเชียว” เพื่อนของเขาถามเมื่อเห็นว่าเขาสั่งเครื่องดื่มที่ค่อนข้างเบามาดื่ม

 

“พรุ่งนี้มีนัดถ่าย” ยง จุนฮยอง เจ้าของเสื้อผ้าแนวสตรีทที่ขายในเว็บไซต์และโซเชี่ยลมีเดียร่วมกับเพื่อนของเขาอย่างยัง โยซอบที่บังเอิญไปสนิทกันตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ที่จริงพวกเขาทำขายตามงานต่างๆมานานแล้วพอได้กลับมาบ้านเกิดเลยตัดสินใจทำให้ให้เป็นแบรนด์ไป พร้อมกับออกคอลเลคชั่นใหม่ ซึ่งจะถ่ายกันพรุ่งนี้ที่บ้านของเขาเอง

 

‘จริงๆกูว่าไม่เอานางแบบก็นายแบบก็พอละ’ จุนฮยองพูดขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังหาลือเรื่องคนมาเป็นแบบเขาแค่คิดว่าการจ้างคนมาเยอะไม่ได้ช่วยอะไร ยังไงเสื้อผ้าของเขาก็เป็นยูนิเซ็กส์อยู่แล้ว

 

‘อยากได้คนที่มีเสน่ห์ได้ทั้งสองเพศอ่ะ’ แล้วอยู่ๆโยซอบก็บอกว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง เขาเลยมีหน้าที่ตรวจสอบสถานที่กับเสื้อผ้าที่ใช้เท่านั้น

 

“ไรมึง” เมื่ออยู่ๆเพื่อนเอาแต่สะกิดเขายิกๆจนเขาเริ่มรู้สึกว่าไหล่จะสึกแล้ว มือของอีกคนชี้ไปที่ฟลอร์เต้นกลางร้าน

 

ร่างกายที่ผ่านการเข้าฟิตเนสมาอย่างต่อเนื่องจนมีซิกแพคกลับดูบางลงเมื่ออีกคนใส่เสื้อเชิ้ตสีสว่างที่เจ้าตัวเลือกที่จะปลดกระดุมเม็ดแรกและเม็ดที่สอง พร้อมกับยีนส์สีดำที่ดูเข้ารูปขาทำให้เจ้าตัวดูผอมบาง

แม้ว่าจะมีหญิงสาวที่กำลังเต้นอยู่ด้านหน้าแต่สายตาของอีกคนกำลังจ้องมาที่เขาเป็นระยะ

 

ยั่วชิบหาย

 

สายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน ดูอันตรายแต่บางทีก็ดูไร้เดียงสาที่เจ้าตัวแอบมีแววตาของความกลัวเมื่อตอนที่อยู่กับเขาบนเตียง

 

“มาช้าจังวันนี้” กว่าที่อีกคนจะมาให้เขาเห็นก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาค่อยๆแทรกตัวเข้าไปหาก่อนจะพูดข้างหูให้ได้ยินเขาชัดๆ อีกคนเพียงแค่ยิ้มให้ก่อนจะหมุนตัวมาหาเขา แขนเขาเองก็ไม่ว่างเปล่าทำหน้าที่โอบเอวอีกคนไว้

 

“มาให้เห็นหน้าเฉยๆครับ” เจ้าตัวยิ้มตาหยีให้เขาก่อนจะหมุนตัวออกจากเกาะกุมแล้วหายไปตามฝูงชนที่เขาเองก็เลือกที่จะปล่อยไป แม้ในใจอยากจะตามแค่ไหนก็เถอะ

 

ตามไปแล้วจะพูดว่าอะไรดีเขายังคิดไม่ออก

 

 

 

/ว่าไงครับเพื่อนนนน/ เสียงใสของเพื่อนตัวเล็กเขาดังมาตามสายก่อนที่จุนฮยองจะถามว่าถึงไหนแล้ว เพราะตอนนี้เขาเองก็จัดฉากยังไม่เสร็จดี ก่อนจะพบว่าเพิ่งจะออกบ้านแต่โทรมาบอกก่อนเขาถึงฝากอีกคนให้ซื้อข้าวมาให้ด้วย

 

บ้านของจุนฮยองอยู่ชั้นบนสุดรวมไปถึงห้องที่ดาดฟ้าที่เขาใช้เป็นสตูดิโอถ่ายรูปหลังจากกลับมาเขาก็เลยขนทุกอย่างทั้งฉากถ่าย ห้องล้างมาไว้ที่นี่ทั้งหมด

 

“สัส ของกินกูละไหน” ทันทีที่โยซอบถึงห้องเขาก็โดนไอเจ้าของห้องมันเกรี้ยวกราดใส่ทันที หิวไรเบอร์นั้นวะ

 

“เออๆเพื่อนกูกำลังเอาขึ้นมา” โยซอบพูดก่อนจะขอตัวไปเตรียมของที่ดาดฟ้า ปล่อยให้จุนฮยองรอของกินไป

 

Ding dong

ออดหน้าบ้านทำให้จุนฮยองต้องเดินไปดูคงจะเป็นเพื่อนของโยซอบที่จะมาเป็นนายแบบวันนี้นั่นแหละ เจ้าตัวคงไม่รู้รหัสบ้านเขาไม่เหมือนกับโยซอบที่รู้แล้วกดเข้ามาไม่เกรงใจเจ้าของมันเลย

 

“ขอโทษนะครับที่เอามาให้ช้า”

 

 

“นี่กีกวัง เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กกู” โยซอบแนะนำชื่อของนายแบบที่พวกเขาจะถ่ายในวันนี้ แม้จะเพิ่งรู้จักชื่อกันแต่จุนฮยองได้รู้จักร่างกายของเจ้าของชื่อไปตั้งนานแล้ว

 

“อี กีกวังครับ”

 

“ยง จุนฮยองครับ”

 

เมื่อแฟชั่นแนวสตรีทกับความโรแมนติกต้องมาเจอกัน การพบกันครึ่งทางของเสื้อผ้าแนวสตรีทที่ไม่ดาร์กไม่เข้มเกินไป สอดแทรกความโรแมนซ์ที่ชวนให้ลองสวมใส่เพื่อไปเดทกับคนรักได้ทุกที่

 

“ไงสนุกปะ” โยซอบถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองออกมาจากห้องแต่งตัวหลังจากที่พวกเขาถ่ายทั้งหมดเสร็จแล้ว จากเวลาเที่ยงวัน ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้วเพราะพวกเขาอยากได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนเลยทำให้ลากยาวมาขนาดนี้

 

“ก็สนุกนะ เสื้อผ้าสวยดีอ่ะ”

 

“แน่ดิใครออกแบบละครับบ”

 

“เอากลับเลยก็ได้นะ” เสียงของจุนฮยองพูดขึ้น เป็นโยซอบเองที่ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยปกติแล้วจุนฮยองจะให้สินค้าแค่เพียงชิ้นเดียวแต่คราวนี้กลับยกให้หมดทั้งคอลเลคชั่นเนี่ยนะ เกิดเพี้ยนใจดีอะไรของมันละนั่น

 

“อื้ม ให้” เจ้าคนพูดก็ก้มๆเงยๆเก็บของก่อนที่โยซอบจะได้ถามต่อก็มีสายเข้า

 

 

“โทษทีนะมึง”

 

“ไม่เป็นไรกูกลับแท็กซี่ได้” เมื่ออยู่ๆแฟนของโยซอบก็ขอให้ไปหาแล้วดันเป็นคนละทางกับบ้านของกีกวังเลยไปส่งเพื่อนรักกลับบ้านไม่ได้

 

“อย่าทำหน้างั้นดิ” กีกวังพูดพลางอมยิ้มเมื่ออีกคนทำหน้าหงอยรู้สึกผิดที่ออกจะเหมือนทิ้งเขากลายๆ ไอเขาเองก็ไม่ใช่เด็กสามขวบที่กลับบ้านเองไม่ได้แล้ว

 

“จุนฮยอง ฝากเพื่อนกูด้วย” โยซอบตะโกนเรียกเจ้าของห้องที่ยังคงเก็บอุปกรณ์อยู่ ก่อนจะฝากฝังกีกวังไว้กับอีกคน

 

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งเมื่อเพื่อนของเขากลับไปเหลือเพียงแค่กีกวังที่ยังนั่งอยู่ตรงโซฟามองอีกคนเก็บของพลางดื่มโกโก้ในมือไป

 

“บังเอิญจังนะครับ” กีกวังพูดขึ้นทำลายความเงียบ จุนฮยองละสายตามามองอีกคนที่นั่งขัดสมาธิบนโซฟาเขา

 

เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ทับไว้ด้วยคาร์ดิแกนโอเวอร์ไซต์สีเหลือง กับกางเกงยีนส์สีซีดขาด ทำให้เจ้าตัวดูต่างจากคืนก่อนๆที่เขาเจอ

 

ดูไร้เดียงสา

 

แต่ก็ดูอันตราย

 

จุนฮยองเดินเข้ามาให้อีกคนก่อนจะเท้าแขนคร่อมอีกคนไว้ เขากำลังจ้องตาใสที่มองเขาด้วยความสงสัย

 

“พรุ่งนี้มีงานมั้ยครับ” แม้เจ้าตัวจะสงสัยกับคำถามอยู่บ้างแต่ก็ส่ายหัวให้เป็นคำตอบ

 

“งั้นคืนนี้ผมคงให้คุณกลับบ้านไม่ได้แล้วละ”

 

“มันอันตราย”

 

 

 

 

“เหยดดดนายแบบมึง กีกวังเลยหรอวะ” พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวันสุดสัปดาห์หลังจากที่คอลเลคชั่นของเขาปล่อยเพื่อนเขาต่างก็มีปฏิกิริยากับนายแบบ‘ของเขา’พอสมควร

 

“ทำไมวะ”

 

“มึงไม่รู้หรอกีกวังหน่ะ” กีกวังหน่ะเรียกว่าเป็นเน็ตไอดอลก็ว่าได้ ดูจากยอดฟอลโลว์เวอร์ในโซเชี่ยลมีเดียของเจ้าตัว ที่มาจากหน้าตาและความเข้าถึงง่ายของกีกวังเอง เพราะด้วยความที่เจ้าตัวสามารถให้ลุคได้เกือบทุกแบบเลยไม่แปลกที่จะได้เป็นนายแบบให้เสื้อผ้าแบรนด์สตรีทหลายแบรนด์

 

แต่ตอนนี้คงไม่ได้แล้วละ

 

“มาถึงนานรึยังครับ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นทำให้เขาต้องเหลียวไปมอง ก่อนจะพบคนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนากับเพื่อนเจ้าตัว

 

“มานั่งสิ” พูดเสร็จเขาก็ขยับตัวให้ ทุกสายตาทุกโต๊ะกำลังจ้องมองคนที่มาใหม่ และก็ทำให้อ้าปากค้างไปอีกเมื่อคนที่เพิ่งมาถึงไม่ได้นั่งลงข้างๆจุนฮยองแต่เลือกที่จะวางตัวเองลงบนตักของจุนฮยอง

 

“สวัสดีครับ อีกีกวังครับ”

 

 

 

“เออแล้ววันนั้นอ่ะคนที่นอนกับมึง?”

 

“ก็…”

 

“มึงอย่าบอกนะว่าเป็นกีกวัง”

 

“เออ พวกมึงไม่เห็นหน้ารึไง”

 

“สัสมืดขนาดนี้พวกกูเห็นก็บ้าแล้วไอฟรัค”

 

 

 

“น่ากลัว” โยซอบพูดขึ้นในขณะที่เขากำลังมานั่งเล่นอยู่บ้านของกีกวัง เจ้าคนที่โดนกล่าวหาว่าน่ากลัวละจากโทรศัพท์ที่กำลังตอบข้อความ มาเลิกคิ้วเล็กน้อย

 

“อยากได้อะไรก็ต้องได้เลยสินะ” กีกวังยักไหล่ให้กับคำพูดของโยซอบก่อนจะแก้ตัวให้กับตัวเองบ้าง

 

“ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรก็ได้ซักหน่อย”

 

“แต่อยากได้จุนฮยองก็ต้องได้จุนฮยองสิ^_^”

 

THE END

 

(fic) dukwang – Calling You

Title: Calling You

Pairing: DuKwang (Dujun & Gikwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

 


 

ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ จะหลับหรือยังนะ

คุณต้องการผมไหม หรือว่าคุณลืมผมไปหมดทุกอย่างแล้ว

 

 

 

“งั้นไปแล้วนะ” เพื่อนเขาตะโกนบอกในขณะที่เขากำลังเดินเข้าตึกหอพักของตัวเอง เสียงโหวกเหวกโวยวายตามประสาของนักกีฬาทำให้คนแถวนั้นต้องหันมามองด้วยสายตาตำหนิ จนเขาต้องคอยขอโทษขอโพยแทนพวกมัน เมาแล้วเละจริงๆ

แต่ยังไงเขาก็ต้องขอบใจที่ยังอุตส่าห์มาส่งเขาถึงหอพักด้วยเหตุผลที่ว่าหอพักเขามันอยู่ไกลสุดแถมทางเปลี่ยว

 

‘เผื่อโดนฉุดไป ใครจะมาเป็นกองกลางกับกู๊ว’ เมคเซ้นสุด

 

ขาเรียวพาตัวเองขึ้นมาจนถึงชั้นสี่ของตึก คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เพิ่งจัดเต็มไปเริ่มออก เลยทำเอาเขามึนหัวแล้ว กว่าจะหากุญแจไขได้ก็ลำบากเล็กน้อย

 

ทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองพลางปิดตาลง ได้แต่บอกตัวเองว่าขอซักสิบนาทีแล้วเขาจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ ไม่งั้นกลากเกลื้อนหรืออะไรซักอย่างต้องถามหาเขาแน่ๆ

 

เลขนาฬิกาชี้เลข12 ค่อยเคลื่อนตัวไปจนถึงเลข1อย่างรวดเร็ว คนที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ได้รู้สึกตัวเลยซักนิดจนกระทั่งโทรศัพท์ดังเพราะมีสายเข้า

 

“ฮัลโหลครับ” ปลายสายเงียบไปซักพัก ได้ยินเพียงแค่เสียงดนตรีคลอมาเบาๆบ่งบอกว่าอีกคนอยู่ที่ไหนแต่ก็ยังไม่ยอมพูดอยู่ดี

 

“ฮัลโหลครับ??”

 

“ถ้าไม่ตอบผมวางนะ”

 

/เดี๋ยว/ เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้เขาตาตื่นได้โดยทันที ตากลมเสมองนาฬิกาเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าอีกคนยังไม่กลับบ้าน

 

แม้รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นแล้ว

 

“มีอะไรรึป่าวครับ”

 

/ไม่มีอะไรหรอก/

 

“ครับ?”

 

/พี่แค่คิดถึง/

 

อี กีกวังนักศึกษาชั้นปีที่ 3 นักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่กำลังไปซ้อมมาแล้วไปดื่มต่อทั้งหมดทั้งมวลยังไม่น่ามึนหัวเท่ากับประโยคที่ปลายสายเพิ่งพูดกับเขา อยากตัดสายให้มันจบๆไปแต่เขารู้

 

เขารู้ว่าในใจเขาก็ยังเรียกร้องอีกคนอยู่

 

“เมาหรอครับ” หลังจากรวบรวมสติได้ก็ยกหูมาคุยต่อ ตอนแรกนึกว่าอีกคนจะวางไปแล้วแต่ไม่ ปลายสายยังคงรอเขา

 

/มั้ง แต่ก็ไหวอยู่/

 

“ให้ผมเรียกแท็กซี่ให้มั้ยครับ”

 

/รู้หรอว่าพี่อยู่ไหน/ ประโยคที่ปลายสายเอ่ยออกมาทำเอาเขาเผลอเม้มปากตัวเอง ใช่ เขาลืมไปว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกคนแล้ว

 

กีกวังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยุน ดูจุนอีกแล้ว

 

“ขอตัวไปอาบน้ำนะครับ” เป็นกีกวังเองที่เสียมารยาทตัดสายไปก่อนแล้วเลือกที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป

 

เกือบๆสามเดือนแล้วที่กีกวังเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับยุน ดูจุนแฟนรุ่นพี่ของเขาที่พักหลังๆเหมือนกับอีกคนทุ่มเทกับงานมากจนละเลยเขา ทะเลาะกันบ่อยขึ้น พูดไม่รู้เรื่องกันบ่อย เวลาที่ไม่ค่อยจะมียิ่งหายไปเมื่อกีกวังเลือกเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ความไม่เข้าใจกันแต่เลือกที่จะไม่คุยมันเป็นปัญหาสะสมจนเหมือนปมเชือกที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนเป็นกีกวังเองที่ตัดสินใจตัดมันทิ้งซะ

 

หลังจากนั้นยุน ดูจุนก็หายไปจากชีวิตของอี กีกวังเลย

 

จนกระทั่งวันนี้

 

 

“โอย ปวดเอวชิบ” คงเพราะวันนี้ซ้อมเยอะเป็นพิเศษจนทำให้ร่างกายแสดงอาการออกมา เขาคว้ายาแก้ปวดมากินก่อนจะแผ่ตัวลงนอนบนที่นอน

 

20 miss call

 

สายที่ไม่ได้รับจากคนคนเดียวที่เขาเพิ่งวางสายไป มันเยอะจนเขาเผลอคิดเรื่องไม่ดีเอาซะได้

 

 

 

“จะพากลับบ้านมันก็ไม่ยอมบอกแต่ว่าจะไปหานายนี่แหละ” ร่างที่สูงกว่าเขาถูกส่งมาให้ดีที่เขาเป็นนักกีฬาไม่งั้นคงได้ล้มกองกันหน้าหอนี่แน่ๆ

 

“อ่า ขอบคุณมากนะครับ” กีกวังเอ่ยขอบคุณเพื่อนร่วมงานของคนที่เมาพับจนเขาต้องเอาแขนมาคล้องคอตัวเองไว้พลางโอบเอว

 

“ยังไงก็โทรมาหาฉันได้นะถ้ามันอาละวาด” กีกวังพยักหน้าหงึกหงักให้จนอีกคนขึ้นแท็กซี่ไปลับสายตาถึงเพิ่งคิดได้ว่าเขายังไม่มีเบอร์อีกคนแล้วถ้าอาละวาดจริงๆใครจะช่วยเขาละ

 

 

กีกวังเริ่มคิดว่าเขาควรจะอาบน้ำอีกรอบดีมั้ยหลังจากที่แบกคนที่ตัวโตกว่าทั้งส่วนสูงและอายุมาถึงชั้นสี่แล้วเล่นเอาเหงื่อโชก

สุดท้ายเขาก็หยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำทันที

 

สัมผัสเย็นๆตรงแก้มทำให้เขาสะดุ้งตัวได้ง่ายๆก่อนจะพยายามฝืนตาตัวเองขึ้นมามองว่าเพื่อนคนไหนมันกำลังเช็ดตัวให้เขา

 

“กีกวัง?” มือหนาจับมือของอีกคนไว้ก่อนที่อีกคนจะได้ชักมือกลับได้ มือนุ่มของอีกคนยังคงนุ่มอยู่แม้ว่าจะออกกำลังกายหนักขนาดไหน

 

“ปล่อยก่อนสิครับผมจะได้เช็ดตัวให้” เสียงของอีกคนดูห่างไกลเหลือเกินจนดูจุนเริ่มคิดแล้วว่าเขาคงฝันอยู่สินะ

 

“อ่า วันนี้ฝันดีจัง” แล้วภาพค่อยๆมืดลงไป

 

กีกวังได้แต่มองอีกคนที่ละเมอขึ้นมาด้วยหน้าเห่อร้อน เวลาที่จากกันไม่นานมากแต่เขากลับคิดถึงสัมผัสจากอีกคนขนาดนี้เลยหรอ

 

 

 

แสงแดดยามเช้าส่องลงตรงหัวเขาพอดิบพอดีราวกับว่ามีหน้าต่างอยู่ด้านบนหัวของเขาเอง ทำให้เขาต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวเพื่อหลบแสงแดด

 

หน้าต่างด้านบนหัวหรอ

 

ไวกว่าการประมวลผลดูจุนรีบลุกขึ้นพรวดเพื่อนสำรวจสภาพแวดล้อม จนคนที่กำลังจะเดินมาดูสะดุ้งไปด้วย

 

“กีกวัง?”

 

“ครับ”

 

“กีกวังจริงๆหรอ” กีกวังไม่รู้ว่าอีกคนต้องการคำตอบแบบไหนเลยได้แต่พยักหน้ายืนยันเท่านั้น

 

หมับ

แรงกอดที่อยู่ก็ปะทะเข้ามาทำเอากีกวังเกือบหงายถ้าไม่ใช่แขนของดูจุนที่ล็อคเอวเขาไว้ได้ทัน พร้อมกับกอดที่ทำเอาเขาแทบหายใจไม่เอา เขาค่อยๆกอดกลับก่อนจะลูบหลังอีกคนเล็กน้อยเพื่อบอกให้ผ่อนแรงลง

 

“พี่คิดถึง” ก่อนที่พื้นบ้านของกีกวังจะเริ่มหมุนอีกครั้ง

 

 

“ก็จะรีบลุกทำไมละครับ” อาการแฮงค์ยังไม่หายไปง่ายๆเมื่อดูจุนเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพอิดโรยก่อนจะมานั่งข้างๆกีกวังบนโซฟา

 

“นี่ครับ” เครื่องดื่มแก้แฮงค์ก่อนส่งมาให้ดูจุนเขาหยิบขึ้นมาก่อนจะกินพรวดให้หมด แล้วหลับตานิ่ง ความเงียบเริ่มเข้ามาเมื่อไม่มีใครเริ่มเอ่ยปากพูดในใจจริงๆแล้วกับอยากพูดจนไม่รู้จะเริ่มแบบไหนก่อน

 

“งั้นพี่กลับก่อนนะ” เขาไม่รู้ว่ากำลังคาดหวังคำไหนจากอีกคน กีกวังทำเพียงแค่พยักหน้าให้แล้วลุกขึ้นเพื่อเตรียมไปส่งอีกคนที่หน้าห้อง

 

“ขอบคุณมากนะ”

 

“ครับ” ประตูกำลังจะปิดไปพร้อมๆกับโอกาสของเขาเอง ก่อนที่มันจะได้ปิดสนิทมือของคนที่อยู่ด้านนอกก็รั้งไว้ได้ทันก่อนจะออกแรงเปิดให้กว้างขึ้น

 

“ร้องไห้ทำไม” น้ำใสที่กำลังคลออยู่ตรงหน่วยตาร่วงหลุดทันทีที่กีกวังกระพริบตา ดูจุนกำลังมองเพราะเขาไม่รู้ว่าควรทำยังไง เขากอดได้มั้ย เขาปลอบได้มั้ย

 

“ตลกหรอครับ”

 

“ห้ะ”

 

“มาบอกคิดถึง โทรมาหา มาหาแล้วกลับ”

 

“…”

 

“ตลกมากมั้ยครับ” กีกวังไม่เข้าใจ เขานึกว่าทุกการกระทำที่เกิดขึ้นคือการที่ต้องการกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่งั้นหรอ

 

คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าไม่ยอมมองหน้าเขา ไหล่เริ่มสั่นเพราะการกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ไปมากกว่านี้

 

แย่ชะมัดทำกีกวังร้องไห้อีกแล้ว

 

ดูจุนยอมรับว่าช่วงเวลาที่ทะเลาะกันเขามีความคิดที่อยากเลิกให้เรื่องทั้งหมดมันจบไป แต่เมื่อถึงเวลาจากกันจริงๆมันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลย พวกเขาแค่แก้ผิดจุด ไม่ใช่การเลิกกันแต่คือการคุยกัน

 

แต่เขาก็กลัว กลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม

 

ใจเขาอยากจะกลับไปคืนดีกับอีกคนขนาดไหนแต่เขาก็กลัวจะต้องจบ จะต้องทะเลาะกันอีก

 

ดูจุนค่อยๆช้อนคางอีกคนขึ้นมาให้สบตากัน ตาใสยิ่งใสวาวมากขึ้นเมื่อมีน้ำตา เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่อยู่บนแก้มให้หายไป กลับเป็นว่าอีกคนร้องไห้มากกว่าเดิม

 

“ไว้เดี๋ยวพี่โทรหานะ”

 

ผมหวังว่าคุณจะได้ยิน

ผมโอเค หากคุณจะบอกว่าตอนนี้หยุดเถอะ

ผมไม่เป็นไรหากคุณจะพูดอะไรสักอย่าง

 

“พี่ไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวมารับไปกินข้าว”

 

THE END

 

 

 


 

แอมคัมมิ่งแบคคคค

เกร้ดกร้าดค่ะ จริงๆในหัวมีเรื่องเยอะมากกว่าจะเริ่มเขียนได้จริงๆ เห้ออออ

(Granewt) FBweekly -Evil

FBweekly -Evil

Pairing: #Granewt Percival Graves x Newt Scamander

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : ฟิคFBของวีคที่สาม หัวข้อEvil และ เรากำหนดกับตัวเองเองนะคะว่าจะเป็นฟิคสั้นไม่เกิน 1000คำ

 


 

นิวท์ สคามันเดอร์เริ่มไม่มั่นใจว่าคิดถูกหรือคิดผิด ถ้าจะให้โทษคงต้องโทษความรักสัตว์ทุกชนิดของเขาเองแล้วละ ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวแล้วแถมยังมีพายุเป็นพักๆอีกนิวท์ที่กำลังเดินไปเอาฟืนจากที่เก็บในโพรงกระต่ายที่เจ้าของบ้านได้ย้ายออกไปกันหมดแล้ว แต่ขากลับต้องมีเจออะไรบางอย่าง

 

หมาป่าที่ดูตัวใหญ่กว่าปกติไปซักเล็กน้อยขนของมันเป็นที่ขาวจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะหากไม่มีหยดสีแดงทั่วทั้งตัวขนาดนี้ คนตัวบางทว่าก็ถือว่าแข็งแรงพยายามพาเจ้าหมาป่าขึ้นรถลากที่พอจะเบียดๆกับฟืนที่เขาขนมาก่อนจะพาไปที่บ้านของเขา บ้านกลางป่าที่มีสัตว์หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ด้วยมาจากการที่นิวท์เองก็เป็นคนชอบช่วยเหลือเหล่าสัตว์มาโดยตลอด

 

บาดแผลได้รับการรักษาเป็นที่เรียบร้อยเหลือก็แค่ฟื้นแล้วพากลับไปที่เดิมของมัน แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นแบบนั้นเพราะเมื่อนิวท์กลับมาดูเจ้าหมาป่าอีกรอบกลับเจอชายหนุ่มวัยกลางคนนั่งอยู่บนเตียงแทน

 

“ค-คุณเข้ามาได้ยังไง” สาบานได้ว่าทางเข้าและออกที่นี่มีเพียงแห่งเดียวถ้าหากว่าเป็นหน้าต่างก็ควรจะมีเสียงให้ได้ยิน แต่นี่ไม่เลยเหมือนกับว่า

 

“เจ้าพาข้ามาเองไม่ใช่หรือ” สีหน้าของเจ้ามนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตูทำให้เขาอดที่จะแกล้งไม่ได้ ค่อยๆพาตัวเองลงจากเตียงก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าคนที่ทำหน้าอึ้งอยู่ไม่ยอมขยับไปไหน ห่างกันเพียงแค่คืบเท่านั้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

 

“ไงละจำไม่ได้รึไง” สมองอันน้อยนิดของนิวท์ค่อยๆประมวลผล ตาใสค่อยๆเบิกกว้างกว่าเดิมมือบางที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นค่อยๆชี้มาทางเขา คิ้วเข้มค่อยๆเลิกขึ้นเป็นการอนุญาตให้พูดอย่างที่คิดได้

 

“ว-แวร์ว-แวร์วูฟล์” ตาคมกลอกไปมาก่อนจะกลับไปนั่งบนเตียงเหมือนเดิม พลางพูดด้วยความอารมณ์เสีย

 

“ข้าเหมือนเจ้าพวกบ้าดีเดือดพวกนั้นรึไง”

 

“แต่คุณเป็นมนุษย์หมาป่า”

 

“ใช่แต่ข้าเป็นไลแคนท์ไม่ใช่เจ้าพวกโง่ไร้การระงับการอารมณ์พวกนั้น” ไลแคนท์?? ไม่เข้าใจ จะบอกว่านิวท์โ.ตอนนี้ก็พอจะยอมรับนอกจากไลแคนท์บนต้นไม้เขาก็เพิ่งรู้นี่ละว่ามีไลแคนท์แบบนี้ด้วย

 

 

“งั้นคุณก็แปลงร่างได้ตลอดหรอครับ” หลังจากปรับสติอารมณ์กันเป็นที่เรียบร้อยตอนนี้พวกเขาก็พากันมานั่งอยู่ตรงโซฟากลางบ้านที่มีเตาผิงให้ความอบอุ่นอยู่ด้านหน้า

คุณไลแคนท์คนนี้ชื่อเพอร์ซิวัล เกรฟส์ ตอนที่เขาเจอคือเจ้าตัวกำลังหนีจากพวกคนในหมู่บ้านมาหลังจากโดนล่าเนื่องจากขนสีขาวของเขาเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมพวกของเขาเริ่มหายไปทีละคน เพอร์ซิวัลยังคงเล่าตอนไปเรื่อยๆเมื่อตาใสๆนั้นยังจ้องเขาด้วยความสนใจและความตื่นเต้น

 

“ว่าแต่เจ้าเถอะมาอยู่ทำไมตั้งไกลจากหมู่บ้านแบบนี้” ตาใสหม่นแสงลงไปเล็กน้อย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูน่ามองค่อยๆก้มลงมองมือตัวเอง

 

“พอดีว่าพวกเขาคงคิดว่าผมเป็นตัวหลาดมั้งครับ” แล้วก็เป็นตาของนิวทืที่เล่าเรื่องราวในป่าการพบเจอกับสัตว์ตัวต่างๆให้เพอร์ซิวัลรู้จัก และดูไม่ยากเลยที่เพอร์ซิวัลจะเข้ากับพวกสัตว์ต่างๆของนิวท์ได้

 

“ข้าว่าข้าต้องไปแล้วละ” เพอร์ซิวัลลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวจากบ้าน ส่วนตัวแล้วไลแคนท์สามารถรักษาบาดแผลของตัวเองให้หายได้เองยิ่งดรับการรักษาทำให้แผลสมานตัวอย่างรวดเร็วจนเกือบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เพียงแต่เขาเป็นห่วงว่าคนในบ้านอย่างนิวท์จะเดือดร้อนไปพร้อมกัน

 

หมับ

มือบางคว้าที่ข้อมือหนาพลางส่งสายตาเหมือนหมาน้อยที่กำลังอ้อนเจ้าของยามที่เจ้าของออกไปด้านนอก

“คือ หิมะมันยังตกหนักอยู่เลย”

 

“…”

 

“ผมว่าคุณอยู่รอให้มันหยุดก่อนมั้ยครับ” แล้วหลังจากนั้นก็เป็นเหตุให้เพอร์ซิวัลต้องมาเป็นหมอนจำเป็นให้เจ้าของบ้านพิงอยู่อย่างนี้

 

แต่จะว่าไปแบบนี้ก็ดีแหะ

END

(fic) เอกกล้า – CoCoa

Title: CoCoa

Pairing: เอกกล้า ( HRK x CigaretteS )

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : มีคนรีเควสมาเลยจัดให้ค่าาา สั้นกุดขออภัยด้วยฟิคเฉพาะกิส

ไม่อิงเรียลใดๆทั้งสิ้น โปรดอย่าหวังขนาดนู้นนะตัวเธอว์

 

________________________________________________

 

 

ทุกๆครั้งที่มีคนถามไม่ว่าจะในความเป็นจริงหรือในสตรีมว่าเขาชอบกินอะไร แน่นอนว่าคำตอบที่ได้รับไม่ต่างกันเลย

 

โกโก้

 

ทำไมถึงชอบหน่ะหรอ

 

 

“อ่ะ” น้ำหวานสีน้ำตาลเข้มถูกยื่นมาตรงหน้า คนที่เหนื่อยมาสายตัวแทบขาดรับเข้ามาดื่มโดยทันที รสหวานของน้ำตาลที่ปนกับความขมของโกโก้เพียงบางเบาทำให้เขาเผลอนิ่วหน้าโดยทันที ก่อนจะคนๆให้เครื่องดื่มเข้ากันมากกว่านี้

 

“พี่” หันไปเรียกคนอายุมากกว่าที่เอาแต่เดินจูงเขาไปดูของในหลังจากเพิ่งนั่งพักเหนื่อยไปแปปเดียวขณะที่เจ้าตัวเอาแต่ตื่นตาตื่นจะกับสิ่งของตรงหน้า ถามว่าเขาฟังมั้ย

 

หึ ไม่

 

ไม่พลาดซักประโยคหน่ะสิ

 

“พี่เอก” คนอายุมากกว่าชะงักจากการโม้แตกฟองกับเจ้าของร้านหันมามองเขาเป็นอันสำเร็จ

 

“ว่าไง??” ไม่มีคำพูดแต่เป็นเครื่องมือแก้วเดิมที่เขาเพิ่งกินไปยื่นให้อีกคนดูดเห็นพูดมากขนาดนี้กลัวจะหิวน้ำตายซะก่อน คนเป็นพี่ดูดไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันไปคุยกับเจ้าของร้านต่อ เขาเบะปากเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในร้านเพื่อซื้อของที่เขาตั้งใจมาซื้อตั้งแต่แรก

 

เอาจริงๆที่มีซื้อของเนี่ยคือซื้อของเขาเองนะ ไม่ใช่ของพี่เขาเล้ยไหงได้เยอะกว่าก็ไม่รู้

 

“??” เผลอตัวอีกที เครื่องดื่มที่ถือเข้ามาในร้านมันก็หมดไปแล้วเหลือเพียงแค่น้ำแข็งที่ก้นแก้วเท่านั้น

 

มันไม่ได้อร่อยมากจนอยากจะกินจนหมด

 

เขาเรียกว่ามันเผลอตัวมากกว่า

 

เหมือนความรู้สึกเขา

 

ที่เผลอไปรู้สึกมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็ลืมไปแล้ว

 

แต่ถามว่าแคร์ไหมก็ไม่ เขาเลือกจะทำแบบนี้มากกว่าดีแล้วดีที่สุดแล้ว

 

“ของเยอะไปอีกว่ะ” เสียงทุ้มบ่นขึ้นหลังจากที่จบการช้อปปิ้งที่ยาวนานเสร็จพาเจ้าสิ่งของทั้งหลายมาไว้ที่หลังรถของตัวเอง คนเป็นน้องอย่างเขาได้แต่มองค้อนพลางบ่นลอยๆให้อีกคนรู้

 

“แหม่ ของตัวเองทั้งนั้นมั้ยละ”

 

“เออวะ5555 ปะๆไปกินข้าวกัน” คนตัวโตกว่าผลักเขาให้เดินไปทางที่นังข้างคนขับส่วนเจ้าตัวก็เดินไปประจำที่ของตัวเองทันที

 

“กินไรอ่ะพี่”

 

“ร้านโปรดกล้าไง”

 

“ทำไมอ่ะ”

 

“เอ้า น้องนานๆมาหาทีต้องเอาใจสิ” มือที่ว่างเอื้อมไปยีผมคนที่อายุน้อยกว่าให้ยุ่งเหยิงก่อนจะปล่อยก๊ากเมื่ออีกคนทำท่าเบะปากแล้วเอาแต่พูดว่าไม่คุยๆตลอดทั้งทาง

 

 

“เหมือนเดิมนะ??” คนเป็นพี่ถามก่อนที่จะให้เขาไปนั่งที่โต๊ะ เขาพยักหน้าให้ก่อนจะเดินไปนั่งที่แล้วหยิบเครื่องมื่อสื่อสารมาดู

 

ตึ้ง!

 

พี่โปเต้ : มากรุงทำไมไม่บอกพี่บ้าง

 

พี่เจมส์ : บิงซูซักวันมั้ยละน้อง

 

พี่พี : เออไอกล้ามาไม่บอกถ้าพี่เอกไม่บอก

 

พี่โปเต้ : เบื่อจริงไปสวีทกันสองคนอีกละ

 

หน้าร้อนไม่รู้สาเหตุจากการอ่านข้อความล่าสุดที่พี่คนสนิทในกลุ่มส่งมา นิ้วเรียวกำลังจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไปแต่ดูเหมือนว่าจะมีอะไรมาขัดขวางไว้

 

เครื่องดื่มสีน้ำตาลเข้มที่ถูกปั่นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง พร้อมกับวิปครีมด้านบนดูน่ากินมากเขาถึงยอมวางโทรศัพท์แล้วหันมาดื่มเจ้าโกโก้ปั่นแทน

 

อืม รสชาติดีกว่าเมื่อเช้าเยอะ

 

“อะไรกันวะนั่น” คนเป็นพี่หยิบเครื่องมือสื่อสารมาดูบ้างถึงได้รู้ว่าในกลุ่มคุยอะไรกันไปเยอะแยะ

 

“แหม่ กล้ามาทีนี่มีแต่คนถามหา” เขาเพียงยักไหล่ให้เชิงบอกว่าเรื่องธรรมดาสำหรับคนดัง ทำเอาคนเป็นพี่หมั่นไส้จนต้องจิ้มหน้าผากอีกคนแรงๆซักที เขาจิ๊ปากเล็กน้อยให้ตายวันนี้เขาโดนทำร้ายร่างกายไปกี่รอบละตอบ

 

ตึ้ง!

 

พี่เอก : เขาจะมาสวีทกันสองคนใครจะอยากให้มีก้างวะ

 

พี่เอก : คริคริ

 

พี่เอก sent photo

 

 

“เออพี่”

 

“หืม?”

 

“ทำไมถึงชอบซื้อโกโก้ให้ผม” ปกติเวลาเขาไปซื้อเองเขาก็มักจะเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆเพราะไม่รู้จะกินอะไรดี แต่เวลาอยู่กับพี่คนนี้ทีไรก็ซื้อให้แต่โกโก้เลยพาลสงสัยว่าทำไม คนถูกถามยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดไป

 

บรรยากาศในรถที่เงียบงันจากการที่ไม่รู้ว่าจะฟังเพลงอะไรดี เลยปล่อยให้เครื่องเล่นยังปิดสนิทอยู่อย่างนั้นเลยมีเพียงแต่เสียงแอร์รถที่ดังเป็นระยะ

 

พร้อมกับใครบางคนที่กำลังมองหน้าอีกคนอย่างรอคอยคำตอบ

 

“ไม่มีเหตุผล”

 

“โห คิดอย่างนานได้แค่นี้?” คนเป็นพี่หัวเราะออกมาเล็กน้อย ก็เขาไม่ได้คิดจริงๆนี่หว่าแล้วไม่คิดว่าน้องมันจะจริงจังขนาดนี้

 

“เห็นว่าเหมาะกับกล้าดี”

 

“…”

 

“อีกอย่างเวลาถ้ากล้าไปซื้อโกโก้จะได้นึกถึงพี่”

 

“…”

 

“แล้วก็ค่าโกโก้ที่พี่จ่ายไป”

 

“พี่!!!”

 

END

 

(fic) เจมส์เต้ – restart

Title: restart

Pairing: เจมส์เต้ (Jamezconer x iamsometimes)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : ตอนแรกจะแต่งจากเพลงเธอเก่ง ไหงกลายมาเป็นเพลงนี้ได้วะ

ไม่อิงเรียลใดๆทั้งสิ้น บังเทิงล้วนๆเสพเพื่อความบันเทิงพอนะที่รัก พิมพ์ผิดขออำไพพรนะงานเร่งงานด่วน

 


 

คนตัวโตในเสื้อฮู้ดสีเข้มพร้อมกับกางเกงยีนส์ตามฉบับคนขี้เกียจแต่งตัวดูเด่นมากท่ามกลางคนมากมายในร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างในเวลาห้างเปิดแบบนี้ ก็เข้าใจอยู่ว่ากว่าจะนัดรวมตัวเจอกันมันยากมากแต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมพวกพี่ๆน้องๆเขาต้องนัดกันตั้งแต่ห้างเปิด

 

สงสัยไปก็เท่านั้นใครก็ให้คำตอบเขาไม่ได้ พยายามหาโต๊ะที่นัดกันไว้หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน ไอเขาเองก็อยากออกมาจากห้องของตัวเองบ้างเหมือนกัน

 

“ไอเจมส์ทางนี้” เสียงที่คุ้นหูทำให้เขาต้องหันไปพลางพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งกับน้องเล็กในกลุ่ม

 

“ทำไมมากันสองคน?” เห็นว่านัดกันตั้ง5คน เขาก็มีใช่ว่าจะเช้าทำไมคนอื่นยังไม่มาอีกก็เป็นคนข้างตัวที่ตอบแทน

 

“ก็พี่พีไปกับแฟน ส่วนตาบัสก็ขอนอนแทน” กล้าตอบก่อนจะยื้อแย่งสามชั้นในเตากันอีกคนที่กำลังจ้วงกินในขณะที่พวกเขากำลังพูดกัน เขาเลยขอตัวไปตักอะไรมาบ้างเช่นกัน

 

“ถือว่าแผนล่มมั้ยพี่เอกวันนี้” เขาถามตัวตั้งตัวตีที่ชวนมาแฮงค์เอ้าท์กัน เจ้าตัวยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะลากพวกเขาทั้งสองคนไปต่อที่ตู้คาราโอเกะทันที

 

“ไม่ล่มหรอกหน่า พวกมึงมากูก็ดีใจแล้วเว้ย” คนอายุมากสุดในนี้พยายามลากพวกเขาเข้าตู้คาราโอเกะจนได้ กว่าจะถูกปล่อยตัวออกมาก็เกือบๆสามชั่วโมงเข้าไปแล้วถามว่าเขาได้ร้องมันซักเพลงมั้ย ไม่เลย แค่สองคนนั้นก็เวลาแทบจะไม่พอให้ร้องแล้วด้วยซ้ำ

 

ไม่รู้ไปตายอดตายอยากการร้องเพลงมาจากไหนกันเยอะแยะ

 

เขาก็ร้องบ้างร้องตามๆคอรัสไปงั้นแหละ เดี๋ยวน้องๆพี่ๆมันจะคิดว่าเขาไม่สนุก

 

“ไง สนุกมั้ยพี่น้อง” รู้ตัวอีกทีข้างนอกก็มืดแล้ว วันนี้กลายเป็นวันที่หมุนเร็วสำหรับเขาวันหนึ่งเลยทีเดียว เขาพยักหน้าตอบคำถามของคนเป็นพี่ก่อนจะกดโทรศัพท์เล่นรอกล้าที่กำลังไปเข้าห้องน้ำ

 

“เจมส์” เสียงคนอายุมากกว่าเรียก ทำให้เขาต้องหันความสนใจไปที่คนตรงหน้าแทนของในมือ

 

“ว่าไงครับ”

 

“มึงสนุกบ้างปะเนี่ยวันนี้”

 

“สนุกดิพี่”

 

“เออ ให้รู้สึกงี้ทุกวันดิวะ” คนอายุมากกว่าตบเข้าที่ไหล่ของเขาปุๆ เป็นเขาเองที่ยิ้มบางๆตอบแทนให้ เขารู้ว่าพี่ชายคนนี้กำลังห่วงเขา

 

“เฮ้ย ไอเต้” เสียงของคนข้างตัวที่กำลังเรียกใครบางคนทำให้เขาต้องหันไปมองด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

“เฮ้ย ไอเต้” เสียงที่คุ้นหูทำให้เขาชะงักจากการพยายามแกะหูฟังเพื่อหันไปมองคนที่กำลังเรียกเขา เจ้าตัวยิ้มกว้างเมื่อเจอพี่ชายคนสนิทพลางโบกมือให้ ก่อนจะสาวเท้าเดินมาหา

 

“ไงพี่เอกมาทำไรนิ”

 

“มาขี้มั้งมาห้างเนี่ยมึงนี่”

 

“เอ้า ผมผิดหรอเนี่ย555” เสียงติดไปทางหวานยังคงเจื้อยแจ้วกับคนข้างๆเขาต่อไปเรื่อยๆ เขาเองก็มองอีกคนผ่านเลนส์สี่เหลี่ยมของเขาจนอีกคนเริ่มรู้ตัวว่าเขากำลังจ้องอยู่

 

“ไงเจมส์”

 

“อื้ม”

 

“สบายดี?”

 

“ก็เรื่อยๆนะ”

 

“แล้วตอนนี้../ อ้าวพี่ปะเต้ย์” เสียงของคนที่เขากำลังคิดในใจว่ามันตกส้วมไปรึยังก็มาทักขัดจังหวะที่เขากำลังจะหายใจไม่ออกได้ทันพอดี

 

สงสัยต้องไปเลี้ยงไอกล้านอกรอบซะแล้ว

 

“อ้าวกล้าก็มาอ่อ ไงบ้างน้องพี่ย์” แล้วเขาก็กลับมาโหมดเดิมกับการเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ ก่อนที่โทรศัพท์ของอีกคนจะดังทำให้ต้องขอตัวกลับไปก่อน

 

“ไม่ว่าซักวันมันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่ดีกูอยากให้มึงเข้าใจกูนะ” เขาพยักหน้ารับรู้ให้กับคำพูดนี้

 

เขาจะหนีไปตลอดไม่ได้เพราะรู้ว่ายังไงวงจรของเพื่อนพี่น้องของพวกเขามันใกล้กันแค่ไหน เขาต้องชิน ต้องทำใจให้เร็วที่สุดสินะ

 

จากเพื่อนสนิทจนเขารู้สึกว่าความรู้สึกเขามันมากกว่านั้น ถึงได้ลองพูดออกไปให้อีกคนได้รับรู้ น่าดีใจที่อีกคนก็คิดเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ที่ขยับขึ้นมาจะไม่ดีอย่างที่คิดไว้เพราะอะไรหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ทั้งตัวเขาเองและอีกคน สุดท้ายก็ไม่ถึงปีด้วยซ้ำกับความสัมพันธ์นั้น แน่นอนว่าการบอกว่ากลับมาเป็นเพื่อนกันพูดง่ายแต่ทำยากชิบหาย ถึงได้รู้ว่าตัวเองแม่งทำไม่ได้ซักที เขาเลยเลือกที่จะหนีออกมา

 

หนีเวลาที่พวกเขานัดกันเล่นเกม หนีเวลาพวกเขานัดกันกินข้าว

 

จากที่มีเจมส์ที่ไหนมีโปเต้ที่นั้นก็เป็นมีโปเต้ที่ไหนต้องไม่มีเจมส์ที่นั้น

 

จากที่เคยเดาได้ว่าอีกคนรู้สึกยังไง ตอนนี้แม้แต่ว่าทำอะไรอยู่เขายังคิดไม่ออกด้วยซ้ำ

 

 

กว่าจะทำธุระเสร็จปาไปเกือบห้างปิดแล้วทั้งที่กะว่าคงจะแปปเดียวถึงได้เลิกมาเอาค่ำปานนี้ ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าไม่น่าคิดผิดเลย ชีวิตมันคาดไม่ถึงเกินไป แถมไอเก๋าเพื่อนรักก็ดันว่างมาส่งแต่ไม่ว่างรับกลับ

 

ไอชิบหาย

 

บ่นไปสาปแช่งไปก่อนจะเห็นร่างใครบางคนที่คุ้นตาก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปทัก สูดลมหายใจเรียกความมั่นใจให้ตัวเองก่อนไป

 

“อ้าวยังไม่กลับอีก” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาเจมส์ตัวให้ควับมามองก่อนจะเจอคนที่ตัวเท่าไหล่เขาแม้ว่าเจ้าตัวจะสูงตั้ง170กว่าก็แล้ว

 

“ยังอ่ะรอรถ”

 

“งั้นกลับด้วยดิ”

 

ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิด บรรยากาศในรถแท็กซี่ดูเงียบแปลกๆมันไม่ใช่ความรู้สึกอึดอัดเพราะไม่มีอะไรจะพูด

 

แต่อึดอัดเพราะอยากพูดแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงมากกว่า

 

“ไปก่อนนะ” เป็นเจมส์เองที่ถึงแถวบ้านก่อน ชั่วครู่คนในรถคิดได้ทันทีว่าควรจะทำยังไงต่อไปถึงรีบจ่ายเงินให้กับคนขับแล้วรีบลงมาตาม

 

“ไปนอนบ้านหน่อยดิ”

 

ระหว่างทางที่เดินจากตรงนี้ไปถึงคอนโดมันไม่เคยยาวนานเหมือนวันนี้จริงๆเลยเขาสาบานได้

 

ทั้งอยากจะเดินให้ถึงเร็วๆกับอยากอยู่ตรงนี้ๆนานๆชิบหาย

 

ย้อนแย้งสัสๆชีวิตกู

 

“ขอโทษนะ”

 

“หืม?” เป็นคนตัวโตเองที่เริ่มพูดออก เขาคิดแล้วละว่ายังไงก็ต้องพูดก่อนที่เขาจะจมคำพูดพวกนี้ตายซะก่อน

 

“ขอโทษที่ไม่กล้าไปเจอหน้าวะ ไม่กล้าพอ”

 

“อื้ม”

 

“บอกตรงๆกูยังทำใจไม่ได้วะกูแม่งรู้สึกกับมึงมากนะ”

 

“อื้ม”

 

“แล้วกูก็กลัวว่ามึงจะอึดอัดที่กูยังคิดแบบนี้กับมึง”

 

“…” อีกคนยังคงเงียบจนเขาเริ่มรู้สึกอยากจะตบปากตัวเอง กูไม่น่าเลยไอห่า

 

“สามเดือน”

 

“ห้ะ”

 

“สามเดือนที่มึงหลบหน้ากู” เขายังคงไม่พูดอะไรปล่อยให้อีกคนพูดให้จบ เขารู้ว่ามันไม่ชอบให้ใครพูดขัด

 

“มึงรู้ปะตอนที่เราแม่งเป็นแฟนกันกูก็รู้สึกแหละว่าอึดอัดชิบหาย เขินด้วยแม่งเอ๊ย”

 

“….” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เหมือนที่พวกเขาเริ่มหยุดเดินแล้วหันมาคุยกันแบบนี้ ท่ามกลางแสงไฟตามทางที่แอบหลอนอยู่ในที

 

“วันที่กูบอกว่าไม่ไหวแล้ว สุดท้ายตอนนี้กูก็ไม่ไหวจริงๆวะ”

 

“…”

 

“ไม่ไหวแล้วไอห่า กูต้องการมึงขนาดไหนกูรู้แล้ว”

 

“….” มือหนาพยายามจะจับไหล่ของอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้าไม่มองเขาซักที ไหนเสียงที่เริ่มจะสั่นนิดๆทำเอาเขาใจไม่ดีไปหมด แต่อีกคนก็ปัดมือเขาออกทันก่อนที่เขาจะได้แตะไหล่อีกคน

 

“กูไม่รู้ว่ากูควรพูดแบบนี้ดีมั้ย”

 

“พูดมาก่อนสิ”

 

“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมมั้ยพี่หมี” ไม่ต้องรอให้คำตอบว่าจะเป็นยังไงแต่ตอนนี้เขาขอกอดอีกคนตรงหน้าให้สมกับที่เขาคิดถึงมาตลอด

 

“ได้สิ เราค่อยๆเริ่มใหม่ไปด้วยกันนะ”

 

เรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วเดินไปด้วยกันใหม่ได้ใช่มั้ย

 

END

(fic) junkwang – my BF

Title: my BF

Pairing: JunKwang (Junhyung x Gikwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : ไปดูหนังสั้นเรื่อง “เพื่อนกัน จิ๊บๆว่ะ” มาค่ะ ก่อกำเนิดฟิคเรื่องนี้ บอกก่อนว่าชั่ววูบของจริงปั่นสดๆพร้อมดื่ม เอ้ยยยยยย ขออภัยในชื่อฟิคด้วย เราไม่เก่งเรื่องนี้จริงๆTT


คำว่าเพื่อนสนิท อยู่ใกล้ตัวที่สุดแต่กลับไกลหัวใจมากที่สุดเช่นกัน

ถามเขาว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่เขาจำไม่ได้แล้ว อาจจะเป็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้วด้วยซ้ำละมั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ปี1

ช่วงเวลาแห่งการรับน้องก่อนจะเปิดเทอมทำให้มหาวิทยาลัยมีความคึกคักเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าต้องเป็นการรับน้องอย่างสร้างสรรค์ไม่รุนแรง คณะของเขาเองก็เช่นกัน

“เฮ้ยมึงอ่ะลุกสิ” คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวาก่อนจะพบว่าเพื่อนทั้งสองด้านเขาพยักหน้าเป็นการคอนเฟิร์มว่าเป็นเขานั่นแหละ จำใจต้องลุกไปด้านหน้าให้โดนพี่แกล้งพอเป็นพิธี ดูเหมือนจะเตรียมกันแล้วว่าจะแกล้งอะไรเขา

“ชื่ออะไรมึงแนะนำตัวสิ”

“อี กีกวังเมเจอร์เคมีครับ” คณะวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นคณะที่คนเยอะลำดับต้นๆของมหาวิทยาลัยเลยไม่แปลกที่ลานกลางจะคึกคักแถมยังเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาอีก

“มึงเลือกไร” ซองสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้าระหว่างสีดำกับสีขาว เอาความจริงกีกวังไม่อยากเลือกทั้งคู่นั่นแหละมีความรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ยังไม่ได้ถือด้วยซ้ำ

แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกสีขาวให้พี่แทน

“กิจกรรมสัมพันธ์ระหว่างคณะ”

“โอเค โชคดีนะมึง” ถามว่ากิจกรรมสัมพันธ์คืออะไร คือส่งตัวแทนจากคณะหนึ่งไปจับคู่กับอีกคณะให้ทั้งสองคนรู้จักกันให้มากที่สุดภายใน1เดือน อี กีกวังเลยได้เพื่อนในจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาภาพถ่ายมาคนหนึ่ง

“เออ สวัสดี” ทำตัวไม่ถูกกีกวังหันไปทักคนที่เอาแต่สนใจกล้องมากกว่าเขา ก่อนจะลองส่งกระแสจิตไปให้อีกคนได้รับรู้

แชะ!

“เฮ้ย”

“หน้าตอนเหวอน่ารักดีเนอะ” อยู่ๆอีกคนก็หันกล้องมาถ่ายคนข้างๆไปเป็นรูปแรกของความจำกล้องของเขา ก่อนจะยื่นมือมาตรงข้างหน้าพร้อมกับแนะนำตัวเอง

“ยง จุนฮยองยินดีที่ได้รู้จัก”

จากที่โดนจับคู่กันเพราะการบังคับหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กลายเป็นเพื่อนกันโดยไม่รู้ตัว แถมยังรวมไปถึงเพื่อนในกลุ่มที่ต่างสนิทกันไปด้วยโดยไม่รู้ตัว

ภายใต้คำว่าเพื่อนความสนิทที่มากขึ้นมันทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่ได้ตั้งใจแม้แต่น้อยที่จะให้เกิดขึ้น เขากลัวว่าซักวันความรู้สึกนี้มันจะหลุดออกไป

แล้วกีกวังจะเสียจุนฮยองไปพร้อมกับความรู้สึกนั้น

“ไม่เหนื่อยหรอ” เสียงทุ้มถามคนตรงหน้าที่วิ่งมาหาเขาหลังจากที่เตะเจ้าลูกกลมๆไปแล้วกว่ายี่สิบนาที ไม่พูดเปล่ามือเขายังยื่นน้ำเกลือแร่ให้อีกคนด้วย กีกวังพงกหัวขอบคุณก่อนจะรีบเปิดออกมาดื่มทันที

“เหนื่อยแต่สนุกอ่ะ” จุนฮยองเบะปากให้กับคำตอบก่อนจะหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาถ่ายเรื่อยเปื่อยต่อไป ปล่อยให้เป็นกีกวังที่นั่งมองอีกคนถ่ายรูปแทน

จะว่าไปกีกวังกับจุนฮยองแทบไม่มีอะไรเหมือนกันด้วยซ้ำ

จุนฮยองไม่ชอบออกกำลังกายแต่กีกวังชอบฟุตบอล

กีกวังไม่ชอบการอยู่เฉยๆแต่จุนฮยองชอบความเงียบเพื่อที่เขาจะได้ถ่ายรูป

จุนฮยองไม่ชอบวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับกีกวังที่ไม่เข้าใจศิลปะเลยแม้แต่น้อย

แล้วไงใครกำหนดว่าคนชอบไม่เหมือนกันจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้

“โอยยย พวกมึงสวีตกันอีกแล้วว” เสียงโหวกเหวกของยัง โยซอบที่เดินมาพร้อมกับยุน ดูจุนเพื่อนอีกสองคนในกลุ่มของพวกเขา กีกวังหันไปแยกเขี้ยวให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินเข้าสนามไปเตะตูดอีกที เหมือนทั้งสองมาเรียกให้เข้าสนาม

“กีกวัง!” เสียงของดูจุนที่ดังลั่นสนามทำให้จุนฮยองที่กำลังมองรูปในกล้องต้องหันควับกลับมาที่สนามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นว่ามีกลุ่มคนที่เล่นฟุตบอลเมื่อกี้กำลังมุงใครบางคนอยู่

ให้ตาย คลาดสายตาแค่สิบนาทีเองนะเว้ย

ขายาวก้าวฉับๆเข้าไปในสนามทันทีแหวกกลุ่มคนเข้าไปถึงตัวคนที่นอนกุมข้อเท้าอยู่จนได้ ก่อนจะหันไปขอคำตอบจากดูจุนและโยซอบที่ทำหน้าห่วงไม่แพ้กัน

“มันวิ่งไปสกัดบอลเพราะกลัวว่าจะหลุดสนามไปทางถนน สงสัยวิ่งเร็วไปข้อเลยพับ” ดูจุนเป็นตอบแทน จุนฮยองพยักหน้าให้กับคำตอบแล้วหันมาพูดกับคนเจ็บ

“อดทนหน่อยนะ” คนตัวเล็กกว่ากัดฟันพยักหน้าให้ พลางสูดลมหายใจเพื่อคลายความเจ็บของตัวเองแต่มันดูยากเหลือเกิน

จุนฮยองค่อยๆช้อนตัวคนที่เหงื่อท่วมตัวทั้งจากการวิ่งและอาการเจ็บป่วยไปออกจากสนามทันที พลางฝากให้เพื่อนอีกทั้งสองคนเก็บของตามไปด้วย ส่วนเขาเองต้องรีบพาอีกคนไปตรวจในคลีนิกในมอให้เร็วที่สุด

“เอ็นฉีกหน่ะ งดกีฬาสามอาทิตย์เดี๋ยวรอรับยาด้วยนะ” กีกวังและจุนฮยองโค้งขอบคุณคุณหมอก่อนที่จุนฮยองจะพยุงคนที่มีเฝือกตรงข้อเท้าให้ออกมาจากห้องเพื่อมารอรับยา

“อ้าวพวกมึง” ฮยอนซึงนักศีกษาคณะเภสัชที่มาทำงานพิเศษอยู่ที่คลินิกในมหาวิทยาลัยทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองที่ควรจะอยู่แถมสนามบอลมากกว่าดันมาอยู่ที่นี่แทน ก่อนจะชี้ที่ข้อเท้าของกีกวังเป็นคำถาม

“วิ่งโง่ เอ็นฉีก” จุนฮยองตอบแทนปล่อยให้กีกวังอ้าปากพะงาบเพราะพูดไม่ทัน ฮยอนซึงพยักหน้าเข้าใจก่อนจะนั่งลงข้างๆกับกีกวัง ขยี้ผมที่ยังเปียกชื้นเล็กน้อยจากเหงื่อของกีกวัง

“ดูแลตัวเองหน่อยมึงมีคนเป็นห่วงนะเว้ย”

“ใครวะ” กีกวังทำหน้าสงสัยในขณะที่ฮยอนซึงทำหน้าเหรอหรอเหมือนเผลอพูดอะไรไป กีกวังขมวดคิ้วพลางเรียกสติอีกคนอีกรอบ

“ฮยอนซึง”

“เอออ ก็กูไงแหม่เพื่อนกูเจ็บกูเลยเจ็บด้วยเลยเนี่ย”

“แล้วไป” กีกวังพูดพลางนั่งกดมือถือของจุนฮยองเล่นเกมต่อไป เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆให้ตัวเอง

“เป็นไรมึง เกมไม่สนุกหรอวะ” จุนฮยองถามคนที่ทำหน้าหงอยแถมยังถอนหายใจใส่โทรศัพท์เขาอีก เป็นอะไรของมัน

“ไม่ สนุกแต่กูหิวข้าวเนี่ย” ไม่รู้ว่าเพื่อนโยซอบกับเพื่อนดูจุนมันหาคลินิกไม่เจอหรือหนีไปแดกกันก่อน ผ่านไปอีกห้านาทีเจ้าเพื่อนสองคนนั้นก็มาพอดี

“ไม่เป็นไรกูเดินได้” กีกวังบอกจุนฮยองที่กำลังเสนอว่าให้กีกวังขี่หลังเขา แต่มันเกรงใจนี่หว่าตั้งแต่ให้อุ้มมาส่งที่คลินิกละ อายชิบหาย

ความจริงกีกวังกลัวจุนฮยองได้ยินเสียงหัวใจของเขาต่างหากละ

“ไม่ดื้อดิวะ”

“ก็กูไม่อยากขี่หลังมึง”

“โอยพวกมึงเลิกเถียงกัน มึงมาเดินกับกู”ฮยอนซึงที่เริ่มรำคาญสองคนนี้มันง้องแง้งกันอีกแล้ว เลยชี้ไปที่จุนฮยองให้มาเดินกับเขาแทนพลางสั่งต่อทันที

“ส่วนมึง ดูจุนมึงเอามันขี่หลัง” หลังจากสั่งเสร็จมีหรือพวกเขาจะไม่ทำตาม พวกเขายังไม่อยากโดนฝ่าเท้าคุณชายเจ้าอารมณ์แปรปรวนประทับหน้าเลยรีบทำตามทันที

สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ เอาตรงๆว่ากีกวังไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่าทุกๆอย่างที่จุนฮยองทำให้เขามันคือการที่ทำให้เขาคนเดียว กลัวความผิดหวัง สุดท้ายเขาก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ลึกๆแล้วเปิดใจให้สิ่งที่เข้ามาแทน

ใครบางที่ให้ความรู้สึกเหมือนกันจนรู้สึกว่ามาแทนที่กันได้จริงๆ

ปี3

“พวกมึง” กีกวังยิ้มร่ามาทางพวกเขาที่กำลังนั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะประจำของพวกเขา

“ไรมึง” เป็นดูจุนที่เงยหน้ามาจากกองชีทที่กำลังจดเลกเชอร์อย่างขยันมาตอบ

“คือกู” กีกวังพูดเกริ่นเล็กน้อยก่อนจะบิดตัวไปมาเหมือนคนปวดท้องจนคนในโต๊ะเริ่มรำคาญและเท้าเริ่มกระตุกแล้ว

“อย่าลีลา อีกนิดตีนกูไปแล้วนะ” โยซอบพูดตัดบทก่อนจะมีใครลงมือไปมากกว่านี้

“เออๆ จะบอกว่ากูมีแฟนละนะ”

“ห้ะ!!”

หัวใจกระตุกวูบหนึ่งจนเขารู้สึกเจ็บ ขอบคุณที่สีหน้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลงจุนฮยองได้แต่มองมือของคนสองคนที่จับกันไว้อย่างแนบแน่นพลางเซหน้าไปทางอื่น ซึ่งสบเข้ากับฮยอนซึงที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

‘โอเคนะมึง??’ จะเรียกว่ามีกระแสจิตก็ว่าได้ เพียงแค่มองหน้าเขาก็รู้ว่าฮยอนซึงอยากจะถามอะไรเขา จุนฮยองพยักหน้าให้ก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคนคนหนึ่งที่เขาถ่ายไว้เป็นคนแรกของกล้องตัวนี้และจะเป็นต่อไปเรื่อยๆ

ความรู้สึกที่ว่าชอบมันชัดเจนขึ้นตอนที่อยู่ใกล้กันบ่อยๆ จริงๆแล้วจุนฮยองเป็นสนิทกับใครค่อนข้างยากขอบคุณที่กีกวังเป็นคนเข้าหาเขาก่อน ถามเขาก่อนจนเขากล้าเปิดใจรับกีกวังมาเป็นเพื่อน แต่สงสัยว่าเขาจะลืมปิดประตูบานนั้น ที่ตอนนี้คนชื่ออี กีกวังเข้าไปจนเต็มหัวใจเขาแล้ว

แต่เขาไม่กล้า บอกตรงๆว่าป๊อดกลัวเสียเพื่อนถึงโดนคนอื่นเอาไปต่อหน้าแบบนี้เลย

ซน ดงอุนรุ่นน้องของพวกเขา1ปี อยู่คณะบริหารแฟนของกีกวังที่ดูเหมือนจะเป็นแสนดีเหลือเกินจนจุนฮยองยอมแพ้หมดแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาอะไรไปสู้

แต่แล้วเหมือนโชคจะเข้าข้างจุนฮยองเข้า

งั้นหรอ

ความที่อยากได้โลเคชั่นแปลกๆในการถ่ายรูปเลยชวนกีกวังที่กำลังว่างระหว่างรอดงอุนเรียนเสร็จไปถ่ายรูปกัน นัยหนึ่งคือเขาขี้เกียจฟังกีกวังสาธยายถึงแฟนเด็กคนนั้นแล้ว

ฟังไปก็เจ็บใจป่าวๆ สู้ไปหาอะไรทำดีกว่า

เลยเดินลัดเลาะเข้าไปในหลังตึกร้างแถวๆคณะของกีกวังเอง ก่อนจะเจอคนสองคนที่กำลังเหมือนจะพลอดรักกัน จุนฮยองรีบกระชากกีกวังที่เหมือนจะไม่รู้ตัวว่าจะไปขัดจังหวะชาวบ้านให้มาหลบหลังกำแพงอีกฝั่งด้วยกัน

แต่เพราะความเงียบของตึกทำให้ได้ยินอะไรชัดเจน

“อืออ ดงอุน” ชิบ

“อ่ะ อ่ะเร็วอีก”

“อือ ดงอุนอ่า” ได้แต่ภาวนาว่าดงอุนในมหาวิทยาลัยนี้จะไม่ได้มีคนเดียว มือเล็กอีกคนเริ่มจับมือของเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆตามเสียงที่ดังขึ้นมา จุนฮยองคิดว่ารีบพาอีกคนออกไปให้เร็วที่สุดคงเป็นการดี

มันช้าไป

“ดงอุนรักพี่มั้ย” เสียงใสของใครซักคนถามคนชื่อดงอุนขึ้นมา พลางทำให้พวกเขาต้องกลั้นหายใจตาม

“รักสิครับ” ชัดเลย เสียงทุ้มที่มักจะเรียกชื่อของกีกวังพร่ำเพรื่อเวลาที่พวกเขาทำงานกันแล้วกีกวังไม่สนใจอีกฝ่าย สาบานว่าไม่ได้จะจำแม่นอะไรหรอก แต่มันใช่จริงๆ

มือเล็กเริ่มสั่นระริกไปพร้อมกับไหล่ของเจ้าตัว กีกวังเอาแต่ก้มหน้าจนเขามองไม่เห็นว่าอีกคนทำหน้ายังไงอยู่

“แต่ดงอุนคบกับกีกวังอยู่นี่”

“นั่นแค่ของเล่นครับ”

พรวด

“เฮ้ยกีกวัง” คนตัวเล็กกว่าปล่อยมือที่จับกับเขาอยู่ก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าไปทางที่ทั้งคู่กำลังพลอดรักกัน จุนฮยองรั้งไม่ทันและไม่คิดว่ากีกวังจะเดินเข้าไปแบบนี้ เลยต้องรีบเดินตามอีกคนไปทันที

ฝ่าเท้าเล็กแต่แรงไม่เล็กตามขนาดยันร่างสูงที่เปลือยกายกอดกับอีกคนที่กีกวังเองก็ไม่รู้จัก เข้าหนึ่งโครมจนร่างสูงกลิ้งไปสองสามรอบตามพื้น ก่อนที่กีกวังจะเดินเข้าไปซ้ำ ดีที่จุนฮยองมาทันแล้วห้ามไว้ทันพอดี

“เออ ต่อไปนี้มึงคงไม่มีของเล่นให้เล่นแล้ว” แล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นด้วยความเร็วสูง จุนฮยองที่ตั้งสติได้ก่อนรีบวิ่งตามคนตัวเล็กไปทันที

“มาอยู่ทำไมตรงนี้วะ” กีกวังสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะใช้มือปาดน้ำตาที่ร่วงลงมาอย่างลวกๆ จุนฮยองทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกันแล้วไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้ความเงียบเป็นสื่อกลางต่อไป

“ฮึก” กลั้นต่อไปไม่ได้แล้ว สุดท้ายเขื่อนน้ำตาที่ไม่อยากให้เพื่อนเห็นก็พังลงมาจนได้ จุนฮยองคว้าคนตัวเล็กกว่ามากอดไว้ คนในอ้อมแขนสั่นอย่างน่ากลัว มือหนาทำหน้าที่ลูบหลังปลอบละโลมเป็นอย่างดีหวังให้อีกคนหยุดร้องไห้ไวๆ

“กูคิดผิดขนาดนี้เลยหรอวะแม่งๆๆๆ”

“…”

“ทำไมวะ กูไม่ดีตรงไหน”

“…”

“กูแม่ง ฮึก อุตส่าห์เปิดใจ”

“…”

“กูอุตส่าห์ลองรักคนอื่นดูที่ไม่ใช่มึงอ่ะ ทำไมยังต้องเจอแบบนี้วะ”

“…”

“โอย ไอห่า กูผิดอะไรวะตอบ” จุนฮยองนิ่งไปแล้วกีกวังสัมผัสได้ อยู่ๆมือที่ลูบหลังก็หยุดลงจนกีกวังต้องผละออกแล้วมองหน้าจุนฮยองที่กำลังทำหน้าอึ้งอย่างงๆ

“อะไรของมึงเนี่ย”

“เมื่อกี้มึงพูดว่าไร” จุนฮยองถามอีกครั้ง เพื่ออยากให้แน่ใจว่าเมื่อกี้เขาฟังไม่ผิด

“ห้ะ”

“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไร”

“กูผิดอะไรวะตอบ”

“ไม่ใช่ก่อนหน้านี้” กีกวังขมวดคิ้วพลางนึกถึงคำที่เขาพูด ชิบหายละ กีกวังยันตัวเองลุกขึ้นก่อนจะเสมองไปทางอื่นแล้วพยายามจะเดินกลับไปเก็บของ แต่ไม่ทันมือหนาที่คว้าข้อมือทันอยู่ดี

“มึงบอกว่ามึงรักกู”

“…”

“ใช่มั้ย?? มึงบอกใช่มั้ย”

“….” คนที่เพิ่งร้องไห้จนหน้าแดงเริ่มหน้าแดงมากขึ้นเมื่อจุนฮยองเริ่มเอาตาคมมาคาดคั้นคำตอบจากเขา สายตาที่เขาไม่เคยที่จะสบกันได้เกินสิบวินาทีเลย

“ใช่มั้ย มึงบอกกูดิ!”

“เออ กูบอกว่ากูรักมึงพอใจยังแต่มึงไม่รักกูนี่กูก็ต้องตัดใจป่าววะ” สะบัดแขนให้ออกจากเกาะกุมของอีกคนก่อนจะพยายามเดินหนีไปให้ไกล

นี่มันวันซวยอะไรของเขาวะ

แต่ก่อนจะได้ทึ้งผมทิ้งอารมณ์ท่อนแขนของคนที่คาดคั้นเอาคำตอบเมื่อกี้ก็เข้ามาสวมกอดจากด้านหลังจนแน่น พลางกระซิบใกล้หูของคนในอ้อมแขน

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่รักมึง”

“…”

“บางทีกูก็อาจจะรักมึงอยู่ก็ได้”

ห่าเถอะ ทำไมเลือกเวลาสารภาพรักได้แย่แบบนี้วะแม่งเอ๊ย

THE END

“นั่นไงกูว่าแล้ว” โยซอบพูดขึ้นหลังจากที่กีกวังและจุนฮยองเปิดตัวคบกันแบบจริงจังได้ซักที สายตาที่สองคนนี้มองก่อนทำไมเขาจะไม่รู้เล่าวะ เสียดายที่พวกมันสองคนไม่รู้กันเองซะนี่

“ฮยอนซึงใครบอกมึงว่าไอจุนฮยองมันชอบกีกวังวะ” ดูเหมือนดูจุนจะกลายเป็นคนไม่รู้เรื่องที่สุด จนอีกสองคนต้องสาธยายให้ฟังแทน

“ไหนๆก็เป็นแฟนกันแล้วเลี้ยงข้าวพวกกูเลย”

“ก็เห้ละครับ” ทั้งกีกวังและจุนฮยองตอบมาพร้อมกันโดยทันที

“แหม่ ตั้งแต่เป็นแฟนกันนี่อะไรก็ตรงใจไปซะหมดเนอะพวกมึงงงง”

(fic) junkwang – 잘 자요(GN.)

Title: 잘 자요(GN.)

Pairing: JunKwang (Junhyung & GiKwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : แนะนำ กรุณาเปิดเพลง 잘 자요 ไปด้วยนะคุณ

ขอบคุณคำแปลจากนี้มากๆเลยค่ะไม่งั้นคงไม่ได้ฟิคนี้

 

 


 

“กลับมาแล้วครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรงทั้งที่ทั้งห้องมีเขาเพียงคนเดียว ขายาวค่อยๆพาร่างตัวเองไปที่โซฟาก่อนจะล้มตัวลงนอนไม่แม้แต่จะเปิดไฟด้วยซ้ำ เขาเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น

 

ครืด ครืด

 

เสียงเครื่องมือสื่อสารบ่งบอกว่ามีข้อความเข้า ตาคมเพียงแค่ปรายตามองก่อนจะใช้เวลาร่วมกว่า10นาทีในการหยิบมันขึ้นมาดู

 

ถึงห้องยังครับ? – My smile

 

เขาตัดสินใจโทรหาเจ้าของข้อความทันที แม้ว่าตอนนี้อาจจะรบกวนเวลาของอีกคนก็ตาม ขอแค่แปปเดียวเขาก็พอใจแล้ว ได้แต่ภาวนาให้อีกคนรับเท่านั้น

 

/ครับ?/

 

“ถึงห้องแล้วนะ”

 

/อ่าครับ/ ความเงียบโปรยตัวลงมาทันทีอีกคนเอ่ยเสร็จแต่ต่างคนต่างไม่มีใครวางสายเลย เขาได้แต่ปล่อยให้อีกคนทำงานต่อไปส่วนเขาทำเพียงแค่นอนคว่ำลงกับโซฟาแล้วหลับตาฟังเสียงจนเกือบเคลิ้มหลับ ถึงได้ยินเสียงอีกคนเรียกอีกครั้ง

 

/พี่จุนฮยอง?/

 

/พี่??/

 

“อืม ว่า”

 

/กินข้าวยังครับ?/ เขาเงียบเสียงเป็นการตอบว่ายัง เสียงปิดไฟจากอีกฝั่งทำให้รู้ว่านี่คงถึงเวลาปิดร้านพอดี เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบอะไรอีกคนก็ถามเขาต่อทันที

 

/ให้ไปหามั้ยครับ?/

 

“ยังต้องให้ถามรึไง วันนี้วันศุกร์นะ” มือหนาตัดสายทันทีก่อนจะนอนต่ออีกซักพัก คงอีกพักใหญ่ๆกว่าที่อีกคนจะมา เขาขอพักซักหน่อยแล้วกัน

 

ยง จุนฮยองเจ้าของแบรนด์น้ำหอมชื่อดัง ตัวแบรนด์ที่นอกจากจะมีรูปลักษณ์สวยงามแล้วยังสามารถสื่อได้ถึงกลิ่นของน้ำหอมได้อย่างดีแถมยังมีน้ำหอมหลากหลายเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ถือว่ากำลังตีตลาดได้เป็นอย่างดี แต่เพราะยังเป็นแบรนด์น้องใหม่เพิ่งเข้าวงการแค่สองสามปีเลยต้องอยู่ในช่วงพิสูจน์ฝีมือให้มาก ไม่แปลกที่เขาเองต้องออกสังคม เข้าประชุม เดินสายยิ่งกว่านักร้องออกอัลบั้ม

 

เหนื่อยแต่เขาก็ชอบ

 

แม้จะมีโมเม้นท์ไม่สนุกบ้างก็ตาม

 

จากที่เคยยืนคนเดียวตลอดสุดท้ายบางทีเขาก็อยากได้ใครซักคนที่อยู่ข้างๆเขา แค่ยืนบีบนวดไหล่ให้เขาแล้วบอกเขาว่าสู้ๆนะ แค่นี้ก็พอแล้ว

 

จนวันหนึ่งเหมือนฟ้าจะเห็นใจ เมื่อเขาไปร้านอาหารของน้องเพื่อนที่เปิดใหม่

 

เป็นวันที่เขาเจอกับอี กีกวัง

 

อี กีกวังเป็นน้องชายของเพื่อนเขาแทบไม่มีอะไรพิเศษธรรมดาไปหมด แต่เพราะความธรรมดาที่เขาไม่เคยมีจากที่ชีวิตที่ต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา ทำให้เขาตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มนั่น

 

รอยยิ้มที่ช่วยฮีลเขาโดยที่เขารู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

 

รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เลขาเขาบอกว่าน้ำหนักเขาขึ้นจากการไปกินอาหารอิตาเลี่ยนร้านของกีกวังอาทิตย์ละห้าวัน

 

เลยขอเป็นแฟนซะเลยไหนๆก็ไหนๆแล้ว

 

ในวันที่เขาเปิดตัวคอลเลคชั่นน้ำหอมชุดใหม่ ‘Healing Smile’ กลิ่นหอมของโรสแมรีจางๆที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายกับคนฉีดแล้วยังทำให้คนได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายไปด้วยเช่นกัน

 

จนตอนนี้ปีกว่าแล้วกีกวังยังไม่เปลี่ยนน้ำหอมเลยตั้งแต่เขาให้ในวันนั้น

 

 

 

 

แกร่ก

เสียงเปิดประตูพร้อมกับการเปิดไฟ ทำเอาคนที่นอนอยู่ต้องหลับตาแน่นเพื่อหลบแสงไฟนั้นทันที เสียงฝีเท้าของอีกคนที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับมือเล็กที่ค่อยๆนวดคลึงตรงไหล่ของเขา อดไม่ได้ที่จะครางด้วยความพึงพอใจ

 

“พอดีผมเดินผ่านร้านจัมปงดูน่ากินเลยซื้อมาให้อ่ะครับ” ถุงดำถูกยื่นมาอยู่ในระดับสายตา โดยมีจัมปงสองชามอยู่ข้างใน เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลุกขึ้นมาเตรียมตัวกินมื้อเย็นในเวลาสามทุ่มแบบนี้

 

ส่วนอีกคนก็วิ่งเข้าไปในห้องครัวเพื่อเอาน้ำและแก้วน้ำมาให้เขาแล้วหายไปทางห้องน้ำแทน

 

“อ้าวไม่กินหรอ”

 

“ผมกินมาแล้ว กินให้หมดเลยนะซื้อมาตั้งเยอะ”

 

แล้วจะซื้อมาเยอะทำไมเล่าว้อย เขาได้แต่เถียงในใจเมื่อคนตัวเล็กเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเป็นที่เรียบร้อย เขาเลยต้องจัดการอาหารตรงหน้าให้หมด

 

 

 

“มานั่งนี่ครับ” เมื่อเห็นอีกคนออกมาจากห้องน้ำเจ้าคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์ของเขาอยู่บนเตียงลุกขึ้นมาแล้วบอกให้เขานั่งตรงปลายเตียงแทน ผ้าเช็ดผมที่พาดไว้ที่ไหล่ถูกอีกคนหยิบไปก่อนจะเช็ดผมให้เขาพร้อมกับนวดศีรษะไปด้วย

 

“นั่งนี่”

 

“มันไม่ถนัดนะครับ”

 

“จะให้นั่งแบบนี้” แขนของเขาค่อยๆรอบเข้ากับเอวเมื่อรั้งให้อีกคนมานั่งตักเขาจนได้ แม้จะดูลำบากในการเช็ดผมแต่ก็ไม่การขัดขืนใดๆ หัวเขาค่อยๆซบลงกับไหล่ของอีกคนที่ดูเหมือนจะบางลงยังไงไม่รู้

 

“กินอะไรบ้างป่าวเนี่ยทำไมดูผอมลง”

 

“ผอมลงที่ไหนละครับผมน้ำหนักขึ้นด้วยนะ” แขนกอดรัดเอวอีกคนไว้แน่นกว่าเดิม กีกวังชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้อีกคนที่ดูจะงอแงเบาๆ ลงมือเช็ดผมให้เรียบร้อยก่อนที่หวัดจะกิน

 

“นอนกันเถอะครับ”

 

จะบอกว่านอนก็นอนจริงๆนั่นแหละ แม้ว่าจะปิดไฟทั่วทั้งห้องไปแล้วแต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเขายังเห็นหน้ากีกวังชัดขนาดไหน อีกคนก็ส่งยิ้มมาให้ก่อนที่มือเล็กนั่นจะจับปลายผมเขาเล่นไปมา

 

“เหนื่อยมากมั้ยครับ” ตาใสจ้องหน้าเขาไม่เลิกแต่มือยังคงเล่นอยู่กับผมของเขาจนเขาเผลอเคลิ้มไปตาม ชอบจริงๆเวลาอีกคนทำอะไรแบบนี้ มันฮีลเขาได้จริงๆ

 

“เหนื่อย แต่ตอนนี้หายละ”

 

“ไม่โกหกสิครับ” คิ้วหนาแทบจะขมวดเป็นปม จนจุนฮยองอดหัวเราะไม่ได้คนอะไรวะ น่ารักชิบ ไวเท่าความคิดปากอิ่มของอีกคนถูกปิดด้วยปากของเขาเอง เป็นการแตะริมฝีปากกันแต่เขากลับรู้สึกเหมือนได้รับพลังบางอย่างจากอีกคน

 

“หลับเหอะง่วง” ผละจากปากอิ่มนั้นเสร็จจุนฮยองค่อยถดตัวเองลงไปซบกับอกอีกคน ออกแรงกอดให้แน่นขึ้นแต่ไม่ทำให้อีกคนรู้สึกอึดอัดจนเกินไป มือเล็กยังคงอยู่บนกลุ่มผมของเขาเกลี่ยผมไปมาเหมือนเป็นการกล่อมให้เขาหลับฝันดี

 

 

 

 

การได้มองใครซักคนตอนที่กำลังหลับตาอยู่ล้วนแต่ให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูทั้งนั้น โดยเฉพาะคนในอ้อมแขนเขาอย่างกีกวังแล้ว จะบอกว่าเขาหลง รัก ชอบ ทุกอย่างที่รู้สึกได้กับคนๆนี้เลย คนขี้เซายังคงหลับสนิทอยู่ตรงอกเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเปลี่ยนโพสิชั่นกันตอนไหน แต่จุนฮยองจะแคร์ทำไมละในเมื่อถึงเวลาปลุกอีกคนแล้ว

 

มือหนาบีบจมูกของอีกคนเอาไว้ คิ้วหนานั่นค่อยขมวดเข้าหากันตาใสๆลืมตามองเขาด้วยความเคืองก่อนจะเป็นเขาที่ยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้

 

“อรุณสวัสดิ์”

 

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

 

 

จานใบโตถูกทิ้งไว้พร้อมกับแซนด์วิซน้อยอีกสามชิ้น ข้างๆกันเป็นแก้วบรรจุน้ำผลไม้ไว้สองแก้วถูกละเลยจากบุคคลที่อยู่ในห้องที่กำลังเข้าสู่ภวังค์ของแต่ละคน

 

“พี่จุนฮยองครับ” เสียงของคนที่หนุนตักเขา ทำให้จุนฮยองต้องละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดมามองอีกคน ที่เหมือนว่าจะปิดหนังสือของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“หืม?”

 

“ไปเดินเล่นกัน”

 

 

 

“ไหนบอกไปเดินเล่นไง” แขนเขายังคงรอบเอวอีกคนที่กำลังปั่นจักรยานด้วยความเร็ว จนเขากลัวว่าจะล้มกันซักที่แน่ๆ

 

“ว้าว ดูสิครับ” คนปั่นชี้ไปที่แม่น้ำที่กำลังมีตะวันตกดิน จุนฮยองเองก็หันไปมองตามก่อนจะกระชับแรงกอดมากขึ้นเมื่ออยู่ๆอีกคนก็เร่งความเร็วจนเขาแทบตก ไม่ทันจะเอ็ดอะไรอีกคนก็หัวเราะเสียงใสกลับมาจนเขาลืมไปหมดว่าจะบ่นอะไร

 

ความมืดเข้ามาแทนที่ทันทีที่ตะวันลาขอบฟ้าไป คนสองคนที่เอาแต่เดินเอื่อยๆไปเรื่อยมาตางทางหลังจากที่เอาจักรยานไปคืนแล้วก็ต้องมาเดินกลับคอนโดกันอีก มือหนาค่อยๆกระชับมืออีกคนแน่นๆจนอีกคนต้องหันมามองด้วยความสงสัย

 

“ขอบคุณนะ”

 

“ครับ?”

 

“รักนะ”

 

“เหมือนกันครับ” รอยยิ้มที่เหมือนกับพลังที่ค่อยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าถูกส่งมาให้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหนเขาไม่เคยแสดงให้ใครเห็นยกเว้นคนๆเดียว คนที่ธรรมดาแต่สำหรับเขาพิเศษกว่าอะไรใดๆ

 

เขาถึงขอบคุณที่อีกคนยังอยู่ตรงนี้เสมอ

 

 

 

THEEND