(FIC) JUNKWANG – Inspiration

Title: inspiration

Pairing: JunKwang (Junhyung & Gikwang)

Rate: r (?)

Author: red.bunny

NOTE: ร้อนหลังวันวาเลนไทน์นะคะ

 


 

 

 

การเป็นนักเขียนบางคนก็บอกว่าต้องเดินทางหาประสบการณ์แต่เขาไม่ใช่พวกที่ชอบออกบ้านมากนักอีกอย่างคือต่อให้ออกไปเขาก็คงคิดออกไม่ได้อยู่ดี ถ้าไม่มีอารมณ์

 

ยงจุนฮยองนักเขียนนามปากกา joker กำลังคิดพลอตนิยายใหม่ๆ ไอเรื่องพลอตมันไม่ยากหรอกเขามีพวกนี้ในหัวเยอะแยะเต็มไปหมด

 

ติดอยู่เรื่องเดียว

 

ไอฉากนั้นนี้แหละ

 

ก็แน่ละ คนเขียนนิยายอีโรติอย่างเขาจุดขายส่วนหนึ่งมันก็เพราะฉากแบบนั้นไม่ใช่หรือไงละแต่ใครจะคิดละว่ากว่าจะเขียนได้แต่ละที่เขาต้องคิดหัวแทบแตก

 

ให้รู้สึกไม่ลามก ดูโรแมนซ์แต่มีความเสียวซ่านเล็กๆ

 

มือหยิบโทรศัพท์กดโทรออกหาเบอร์ที่มักจะโทรเป็นประจำ

 

“ฮัลโหลอยู่ไหน”

 

/ไม่ว่าง/ ปลายสายตอบมาทันทีตอนที่เขายังไม่ได้ทันจะพูดอะไร เขาเงียบไปซักพักเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสายลอดมา

 

“ถ่ายแบบอยู่หรอ”

 

/ก็ถึงบอกไม่ว่างไง/ หยุดกันแค่นี้จะเรียกว่ายงจุนฮยองหรือไงละ

 

“เลิกงานแล้วมาหาหน่อย”

 

/ยงจุนฮยอง/ เสียงหวานเปล่งมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียเจ้าตัวคงอยากพักไม่น้อยแต่งานเขาก็รอไม่ได้เหมือนกัน

 

มันต้องการคนเติมเต็ม

 

“นะครับ ก็รู้นี่ว่าจุนฮยองต้องการแค่กีกวังเท่านั้น” ปลายสายถอนหายใจให้คงไม่พ้นอีหรอบเดิมที่แพ้ให้กับลูกเล่นแบบนี้ สุดท้ายก็ตกลงรับปากจะไปหาหลังเลิกงานแต่ไม่รับปากว่าจะเลิกกี่โมง เขาก็รับปากไว้เพราะเขาเองที่โทรไปหาอีกกคนช้าไป

 

มืดสนิท

 

อีกีกวังถอนหายใจให้กับตัวเองที่ไม่น่าคิดว่าอีกคนจะรอเลยแท้ๆ นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่าตอนนี้ตีสองแล้วไม่แปลกที่อีกคนจะเข้านอนแต่จะให้กลับก็ยังไงอยู่สุดท้ายก็ตัดสินใจนอนที่นี่แล้วกัน ขาเล็กเดินไปตามทางที่คุ้นเคยแม้จะปิดไฟแล้วก็ตาม มือเล็กเปิดประตูห้องนอนแผ่วเบา

 

หมับ

 

“ไม่ได้หลับอยู่หรอ อื้ออ” ริมฝีปากของเจ้าของห้องจู่โจมปากอิ่มทันทีก่อนจะค่อยๆลูบไล้ตามสัดส่วนกล้ามเนื้อหน้าท้องของอีกคน

 

“ไม่เอา เหนื่ิอยแล้ว”

 

“ก็ไหนบอกว่ารับปากละไง”

 

“พรุ่งนี้จะให้เวลาทั้งวันเลย” จุนฮยองคิดซักพักก่อนจะยอมปล่อยอีกคนในอ้อมแขนออกให้ได้ไปอาบน้ำซักที

 

เอาหน่าพรุ่งนี้มีเวลาทั้งวัน

 

เสื้อเชิ้ตสีขาวโอเวอร์ไซต์หนึ่งตัวถูกวางไว้ในห้องน้ำตอนที่เขากำลังเข้าไป

 

“คอนเสปต์อะไรเนี่ย” กีกวังตะโกนถามคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารอยู่ จุนฮยองบอกแค่ว่าใส่ๆไปเถอะไม่ได้ช่วยให้เขาได้คำตอบเยอะขึ้นเลย ก็แน่ละทุกครั้งกีกวังก็ไม่เคยได้คำตอบอยู่แล้ว

 

“หอม” จุนฮยองชอบเวลากีกวังใช้สบู่หรือแชมพูของเขา มันยิ่งทำให้อีกคนน่าฟัดมากขึ้น กีกวังดันเขาออกก่อนเจ้าตัวจะพาตัวเองไปกินข้าวเช้า

 

ชอบ

 

ชอบมอง

 

ชอบดม

 

ชอบที่จะทำอะไรๆกับร่างกายของคนตรงหน้า

 

ในตอนแรกที่เขาทำใจกล้าหน้าด้านไปเขาให้อีกคนมาเป็นแบบในฉากให้เขาหน่อย บอกตรงๆว่าเขาหลงชอบเรือนร่างของคนตรงหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

 

ใช้เส้นสายของเพื่อนที่เป็นตากล้องให้บ่อยๆมาทำความรู้จัก

 

เชื่อเถอะว่าฉากแบบนั้นในนิยายเขาภาพก็มาจากคนตรงหน้าทั้งนั้น

 

ยิ่งรู้จักยิ่งอยากได้

 

ยิ่งเคยได้แล้วก็อยากได้จนไม่อยากให้ใคร

 

“มองอะไรเยอะแยะ” คนตัวเล็กเริ่มเหวี่ยงเล็กๆเมื่อเขาเอาแต่จ้องหน้าไม่พูดไม่จา เชื่อเถอะว่ากีกวังรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

 

“เมื่อไหร่จะกินเสร็จละ”

 

“รีบหรอ”

 

“ก็นิดหน่อย”

 

“ละจะเริ่มยังไงละ” เขายื่นบทเริ่มให้อีกคนอ่าน กีกวังไล่สายตาไปตามตัวหนังสือ

 

“..ชอบครับ”

 

“ชอบอะไรละครับ”

 

“ชอบพี่ไงละครับกีกวังชอบพี่- อื้ม” มือหนาช้อนคางอีกคนขึ้นก่อนประกบจูบลงบนปากอิ่มที่มักจะเจื้อยแจ้วตลอดเวลาอยู่กับเขา หรือบางทีก็จะเม้มกลับปากจนมันขึ้นสี จนอยากจะทำให้มันแดงช้ำด้วยตัวเขาเอง

 

ปากบางละจากปากอิ่มที่เขาไม่ได้รุกล้ำอะไร

 

“พี่ขอนะ”

 

ทันทีที่หัวเล็กพยักหน้าอนุญาตปากบางก็กดจูบลงอีกครั้งต้องยอมรับว่าแม้คนตัวเล็กจะจูบไม่เก่งหรืออาจจะไม่มีประสบการณ์แต่ลิ้นเล็กที่พยายามไล่ตามเขามันทำให้รู้สึกว่าไม่นานคนตัวเล็กต้องจูบเก่งแน่ๆ มือหนาค่อยๆปลดเชือกของชุดคลุมอาบน้ำก่อนจะลูบไล้ตามแผ่นอกของอีกคน

 

“อ่ะ” คนตัวเล็กละจากริมฝีปากมาหายใจก่อนจะโดนมืออีกข้างของคนตัวสูงรั้งให้รับจูบอีกครั้ง น้ำใสๆค่อยๆไหลมาตามสันกรามโดยไม่มีใครคิดจะสนใจ

 

“นั่งตักพี่สิ” ร่างบางทำตามอย่างว่าง่ายราวกับโดนเวทย์สะกดไว้ เขาขยับให้ชุดคลุมเลิกปกปิดผิวขาวตรงหน้า มือข้างหนึ่งยังคงวนเวียนอยู่ที่หน้าท้องของอีกคนลูบลงไปต่ำลงเรื่อยๆ อีกข้างก็โอบเอวอีกคนไว้ แขนของคนตัวเล็กคล้องกับคอเขา ต่างคนต่างเมาอยู่ในรสของจูบอยูาไม่ห่าง

 

“ฮื่อ พี่ครับไม่เอา” ขาเล็กหนีบเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่ออีกคนสัมผัสที่แก่นกายเล็ก เขาขบเม้มใบหูของคนบนตักเบาๆ มือหนาลูบไล้ต้นขาเหมือนปลอมละโลมอีกคน ก่อนจะกุมแก่นกายอีกไว้แล้วขยับตามจังหวะ

 

“พะ พี่ครับ”

 

“เรียกแดดดี้สิครับ” ตาใสที่หวานเยิ้มขึ้นด้วยแรงอารมณ์เงยมาสบกับเขาจนอดไม่ได้ที่จะเค้นลงให้อีกคนทรมานเล่น

 

“อื้อ แดดดี้” มือหนาเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นเสียงครางหวานของอีกคนยิ่งทำให้เขาต้องเร็วกกว่าเดิม

 

“แดดดี้หนูจะ ฮึก” น้ำสีขาวขุ่นออกมาตามแรงอารมณ์ ยิ่งเห็นมันเปรอะตามมือของอีกคน คนตัวเล็กยิ่งหน้าแดงจนแทบเป็นมะเขือสุก

 

“ช่วยแดดดี้บ้างสิครับ” มือหน้าจับมือเล็กให้กุมที่แก่นกายของตัวเองก่อนจะเป็นคนนำจังหวะแล้วให้คนตัวเล็กบนตักควบคุมมันเอง ปากอิ่มที่แดงช้ำจากการจูบถูกประกบอีกครั้งราวกับคนชิมไม่เคยเบื่อมัน

 

“เร่งหน่อยสิ” กีกวังเฟ้นมือลงให้หนักขึ้นมือหนาที่กำลังจับเอวเขาไว้ก็ลูบไล้ให้เขามีอามรณ์ร่วมไปด้วย จนแทบจะถึงจุนฮยองกลับดึงมือของอีกคนออก

 

“เดี๋ยวจะเสร็จก่อน”

 

“ถุงอยู่ไหน”

 

อีกคนนอนไปแล้วแต่จุนฮยองยังไม่เลิกพิมพ์ ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะให้เรียกว่าเซ็กเฟรนด์ก็คงไม่ใช่ มันมากกว่านั้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับคำว่าคนรัก แต่บางครั้งเขาเองก็เคยลองชวนคนอื่นมาทำอะไรแบบนั้น

 

ไม่สุด

 

ไม่เคยซักครั้งที่จะไม่นึกถึงหน้าของคนตัวเล็กที่นอนสลบอยู่บนเตียงเขา จุนฮยองปัดผมที่ปรกหน้าของกีกวังให้ออกไปทางด้านข้างก่อนจะลูบไล้ตามแก้มเนียนนั่นเบาๆ

 

อีกีกวัง ถ้าเรียกภาษาชาวบ้านก็เป็นเน็ตไอดอลที่มีคนติดตามเยอะ ด้วยความที่เจ้าตัวให้ได้ทั้งลุคเข้าถึงง่าย เซ็กซี่ น่ารัก งานถ่ายโฆษณาถึงได้เทียบตลอด แม้จะมีคนชวนเข้าไปเล่นละครอยู่บ่อยๆแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบรับมากนัก

 

‘รอเรื่องของจุนฮยองได้ทำเป็นหนังจะไปเล่นให้แล้วกัน’

 

เขาคงไม่ยอมให้มีพระเอกแน่ๆ

(fic) dukwang – my ex

Title: my ex

Pairing: DuKwang (Dujun & Gikwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE: เราเป็นคนไม่มีสกิลในการแต่งชื่อเรื่องเลยค่ะ แต่งเนื้อหาได้ตกม้าตายเพราะชื่อเรื่องนี้แหละ55555

 


 

 

คนตัวเล็กกำลังยืนชั่งใจอยู่หน้าร้านเนื้อย่างที่ครั้งหนึ่งสมัยมัธยมเขาจำได้ว่ามันเป็นที่ที่เขาต้องมาทุกครั้งที่แข่งหรือซ้อมเสร็จ แต่วันนี้มันต่างกันออกไป

 

วันรวมรุ่นของทีมฟุตบอลโรงเรียน

 

เขาเริ่มคิดว่าจริงๆเขาไม่ควรจะอยู่ตรงนี้แล้วเดินเข้าไปด้านในเท่าไหร่นัก แต่ไม่ทันได้หันหลังกลับเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปพบเจอพวกเพื่อนๆพี่ๆ แขนยาวพาดลงไหล่เขาพร้อมกับเทน้ำหนักแทบทั้งตัวมาให้

 

“อ้าวไงมาด้วยหราาา”  น้ำเสียงที่กวนประสาททำเอาเขาอยากจะเตะรุ่นพี่ซักทีแต่ก็นะตอนนี้เขาทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลยให้รุ่นพี่คนนี้ลากเขาเข้าไปในร้าน

 

“กว่าจะมานะมึง อ้าวกีกวัง” คนด้านในดูจะฮือฮาไม่น้อยที่เขามา อีกีกวังนายแบบเสื้อผ้าในเว็บไซต์ที่กำลังเป็นที่พูดถึงกำลังมางานเลี้ยงรุ่นทีมฟุตบอลโรงเรียน เขาโค้งสวัสดีพี่ๆก่อนจะหาที่นั่งให้กับตัวเอง

 

สายตาคมที่กำลังจ้องเขาอยู่ทำเอาเผลอชะงักตัวเองไปชั่วครู่

 

ใช่สิเขาลืมไป

 

ว่าอดีตกัปตันทีมจะไม่มาได้ยังไง

 

“นั่นไงที่ว่างข้างดูจุนอ่ะไปนั่งดิกีกวัง” รุ่นพี่ที่พาเขามาพูดจบประโยคเสร็จก็โดนฝ่ามือของรุ่นพี่อีกคนฟาดเข้ากลางหัวพอดี

 

“มึงลืมรึไงว่าสองคนนี้”

 

“เออวะ”

 

“ไม่เป็นไรครับผมนั่งได้” เพราะไม่อยากให้รุ่นพี่ลำบากมากนักเลยตัดสินใจพาตัวเองไปนั่งที่ข้างๆกับอดีตกัปตันทีมโรงเรียน

 

ยุนดูจุน

 

กำลังมองคนที่นั่งลงข้างๆกับเขาก่อนจะพงกหัวรับแก้วใบเล็กมายกดื่มให้หมดภายในอึกเดียวตามมารยาท ก่อนเจ้าตัวจะโดนถามไถ่อะไรไปต่างๆนาๆ

 

อีกีกวังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยศิลปะเช่นเดียวกับเขา แต่กีกวังเรียนวาดภาพส่วนเขาเรียนการแสดง จึงแทบจะไม่ได้เจอกันเลยแม้ว่าจะเรียนที่เดียวกัน

 

ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่เลิกกันไป

 

งานเลี้ยงรุ่นดำเนินมาร่วมสามชั่วโมงแล้วเริ่มมีคนทยอยกลับไปเรื่อยๆ คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่สนิทสนมกันและหัวหลักในการจัดงานวันนี้

 

กีกวังเองก็อยากกลับเต็มทีแล้วติดตรงที่เขาโดนรั้งไว้ไม่ให้กลับซักที

 

แม้ว่าจะนั่งข้างกันพูดคุยกับคนทั้งงานแต่กับคนข้างตัวเขายังไม่ได้ทักกันซักคำเลย เสี้ยวหน้าของอีกคนที่ทำให้เห็นสันกรามอย่างชัดเจนจนอดคิดไม่ได้ว่าอีกคนต้องลดน้ำหนักลงมามากขนาดไหน

 

เมื่อก่อนยังไม่เห็นสันกรามชัดขนาดนี้เลยนะ

 

“มันหล่อขึ้นหรอกีกวังจ้องขนาดนั้น” เสียงรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกันคนอายุน้อยที่สุดในโต๊ะให้พาลสะดุ้งแต่ก่อนจะลากสายตาออกจากหน้าอีกคนได้ ตาคมของอีกคนก็หันมาสบกับกีกวังพอดี

 

“พี่ดูจุน”

 

“…”

 

“ผอมลงมากเลยนะครับ”

 

“ฮิ้วๆ ถ่านไฟเก่าเว้ยยย” เพราะความเมาทำให้คนอื่นไม่ได้ยินเสียงของรุ่นพี่คนนี้ ยังดีที่กีกวังพอจะครองสติได้บ้างคงเพราะคนข้างๆอีกนั่นแหละที่ช่วยเขาดื่ม แม้จะไม่ได้เอ่ยแต่ทุกครั้งที่มีแก้วโซจูถูกยื่นไว้ข้างๆเมื่อเขาหันไปมันก็หมดทุกที

 

“เออกูถามจริงเถอะ”

 

“อะไร” ดูเหมือนว่าดูจุนจะเริ่มรำคาญไอเพื่อนที่เมาแล้วพูดมากคนนี้เหลือเกิน แต่ถ้ายังไม่ตอบก็ยิ่งจะโดนเซ้าซี้เขาถึงต้องมาตอบมันอยู่นี้ไง

 

“พวกมึงไปคบกันยังไงวะ”

 

“เออจริงว่ะ มาถึงก็เปิดตัวเลย ยังไม่ทันรู้ไปคบกันยังไง” ดูจุนได้แต่กลอกตาเล็กน้อยเขาไม่น่าเปิดโอกาสให้มันพูดเลยจริงๆ

 

“เรื่องมันเก่าละพูดทำไมวะ”

 

“ น้องกีกวังเล่าให้พี่ๆฟังหน่อยสิ้” เขาเหลือบมองคนข้างๆที่เอาแต่มองคนนั้นคนนี้ไปมาก่อนจะส่งยิ้มหวานพลางส่ายหน้าให้

 

เรื่องอะไรเขาจะต้องเล่าเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นฟังวะ

 

 

“พี่ดูจุนครับผมชอบพี่” เด็กชายตัวกลมนิดๆให้เดาจากชุดที่ใส่แล้วน่าจะอยู่ที่ม.ต้นกำลังยื่นขนมสารพัดอย่างให้เขา ใบหน้าขาวขึ้นริ้วแดงที่แก้มชวนให้อยากจะเอามือลงไปจิ้มไม่หยอก

 

“ทำไมชอบพี่ละ” เขาไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองค่อนข้างป็อบพอสมควร คนสารภาพรักกับเขาก็เยอะแต่เขายังไม่สนใจเรื่องแบบนั้นมากนัก อาจจะเพราะมีแต่คนชอบแต่ภาพลักษณ์เขาละมั้งเขาเลยยังไม่เลือกใครซักคนอยู่ดี

 

“พี่เท่นี่ครับ” นั่นไง เหตุผลเดิมๆแต่เมื่อดูจุนกำลังจะพูดปฏิเสธอีกคนเจ้าตัวกลับพูดขึ้นมาขัดเขาซะอย่างนั้น

 

“เมื่อก่อนผมไม่มีความคิดอยากจะออกกำลังกายเลยซักนิด แต่เมื่อปีที่แล้วที่พี่ได้ทำประตูให้กับโรงเรียนเรา” เสียงหวานพูดถึงงานกีฬาประจำปีที่โรงเรียนเขามักจะจัดแข่งกับอีกหลายๆโรงเรียนและเขาเป็นที่ทำประตูให้โรงเรียนเป็นแชมป์ได้ ตาใสเป็นกายเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น

 

“มันทำให้มอยากจะออกวิ่งซักที แล้วผมก็เริ่มทำ”

 

“….” ดูจุนยังคงมองหน้าอีกคนที่พูดถึงตัวเขาและเจ้าตัวเองด้วยอารมณ์แบบไหนเขาก็ไม่เข้าใจ

 

“แต่ผมก็ไม่ได้หวังให้พี่รับรักผมนะครับ”

 

“…”

 

“รอไว้ผมผอมเมื่อไหร่ผมจะมาสารภาพรักกับพี่อีกทีนะครับ”

 

“ไม่ต้องหรอก”

 

“ห้ะ”

 

“คบกันตอนนี้แหละเดี๋ยวผอมขึ้นมาคนชอบเยอะฉันก็แย่สิ” จำได้ว่าตอนนั้นดูจุนคิดแค่ว่าอยากให้เจ้าเด็กคนนี้ผอมดูซักครั้งอย่างน้อยมันก็ดีต่อสุขภาพเจ้าตัวเอง ไม่ได้คิดเลยว่าช่วงเวลาที่คบกันจะยาวนานขนาดนี้

 

“พี่ดูจุนนน” เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นก่อนเจ้าตัวซะอีก รอยยิ้มหวานที่มีให้เขาตั้งแต่วันแรกจนตอนนี้ผ่านมาหนึ่งปีแล้วมันยังคงอยู่และมีให้เขาเสมอ

 

เด็กตัวกลมได้หายไปแล้วเหลือแค่อีกีกวังตัวเล็กคนนี้ เจ้าตัวตัวเล็กกว่าที่ดูจุนคิดไว้จำได้ว่าพอเริ่มคบกันกีกวังขอให้เขาปิดสถานะพวกเขาไว้ บอกแค่ว่าให้พากีกวังเข้าชมรมเพราะอย่างลดน้ำหนัก

 

ไปๆมาๆกลายเป็นผู้เล่นเบอร์10 ผู้เล่นที่สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งได้เป็นอย่างดี

 

“มานี่สิ” กีกวังเดินตามรุ่นพี่เขา1ปีอย่างดูจุนไปตามทางซึ่งเขาคุ้นเคยเพราะเข้ามาตลอด 1 ปีที่ผ่านมาอย่างห้องชมรมฟุตบอลเอง

 

“อ่ะ” มือใหญ่กว่ากุมมือเล็กก่อนจะกระชับแน่นไม่ให้อีกคนปล่อย อีกข้างของคนเป็นพี่ค่อยๆเปิดประตูก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้คนทั้งห้องช็อครวมไปถึงกีกวังเองด้วย

 

“เฮ้ยพวกมึง กูกับกีกวังเป็นแฟนกันแล้วนะ” วันนั้นไม่ได้ซ้อมดีๆเลยเพราะทุกคนล้วนเวียนมาถามเขาว่าไปคบกันตอนไหน คบกันเมื่อไหร่ จบการซ้อมวันนั้นด้วยการไปกินเนื้อย่างที่ร้านนี้ร้านเดิมเพื่อฉลองที่กัปตันคนหล่อมีแฟนซักที

 

 

“อร่อยมากเลยละสิ” ดูจุนเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นมือไปเช็ดมุมปากให้กับอีกคนที่กินไอศกรีมจนเลอะ เสร็จก็เท้าคางมองอีกคนเหมือนเดิม

 

“พี่ไม่กินหรอ” หลังจากผงกหัวขอบคุณเจ้าคนที่เอาแต่กินถามคนที่นั่งตรงข้ามเขาว่าทำไมถึงปล่อยให้เขากินคนเดียวแบบนี้

 

“ไม่ละเดี๋ยวอ้วน”

 

ผัวะ

 

ไวกว่าความคิดเมื่อมือของกีกวังฟาดลงบนแขนอีกคนอย่างพอดิบพอดี ให้ตายสิตั้งแต่เขาน้ำหนักลงมากขึ้นจนตอนนี้อีกคนต้องพามาขุนเนื่องจากผอมเกินไปแล้วมาบ่นต่อหน้าเขาว่าจะอ้วนแบบนี้ได้ยังไงกัน

 

“ปากเสีย”

 

“หมายถึงพี่ไงไม่ใช่เราซักหน่อย”

 

“เออไม่รู้แหละ” ช้อนคันเล็กถูกยื่นมาตรงหน้า ดูจุนก็ยังส่ายหน้าให้อีกคนเหมือนเดิมเพราะเขาไม่อยากจะกินจริงๆแต่อีกคนเริ่มให้ไม้ตายอีกครั้ง

 

“ไม่กินจริงๆหรอครับ” เสียงอ่อยๆพร้อมกับสายตาหมาน้อยแบบนี้มีหรือที่ยุนดูจุนจะใจแข็งอยู่ได้ ปากเขาค่อยๆงับเอาเจ้าไอติมในช้อนคันเล็กมา ก่อนจะเห็นยิ้มหวานจากกีกวังเป็นรางวัล

 

“ไงอร่อยมั้ย” ตาใสเบิ่งกว้างเมื่ออยู่อีกคนก็ทาบริมฝีปากกับเขา มือใหญ่จับตรงคางอีกคนให้ปากอิ่มเปิดออกเล็กน้อยก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปสำรวจโพรงปากหวานของอีกคน

 

“อร่อยมั้ยละ” แล้วดูจุนก็ได้ขนมตุ๊บตั๊บมาชุดใหญ่ข้อหาจูบเจ้าตัวในที่สาธารณธและยังไม่ทันได้ตั้งตัว

 

“งี้ถ้าตั้งตัวก็ทำได้สิ โอ๊ย” ยัง ยังไม่เข็ดอีก

 

 

 

 

“งั้นกูเปลี่ยนคำถามก็ได้” เมื่อว่าเพื่อนเขาจะยังไม่เลิกไม่ลา ดูจุนเลยต้องหันมาถามอีกคนที่นั่งข้างๆเขาแทนที่จะสนใจเพื่อนเขาแล้ว

 

“จะกลับเลยมั้ยเดี๋ยวไปส่ง”

 

“พวกมึงเลิกกันได้ไงวะ” แก้วในมือของกีกวังแทบหล่น แม้จะคิดอยู่แล้วต้องมีคนถามแน่ๆแต่เขาไม่พร้อม ไม่อยากจะตอบเท่าไหร่นัก

 

มันไม่ใช่เรื่องที่น่าป่าวประกาศเท่าไหร่นัก

 

“กูขี้เกียจตอบ พูดมากขนาดนี้ไปจ่ายตังเลยนะมึง” มือใหญ่คว้าข้อมือเล็กของคนข้างๆก่อนจะพาออกไปจากร้านจากสถานการณ์อึดอัดแบบนั้นให้เป็นสวนสาธารณะใกล้ๆแทน

 

ความเงียบถูกปกคลุมแทนความวุ่นวายเมื่อครู่ มือเล็กหยิบเครื่องมือสื่อสารก่อนจะส่งข้อความไประหว่างที่รอดูจุนเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วค่อยๆออกเดินไปยังสวนสาธารณะใกล้

 

“สบายดีมั้ยครับ” มีคำถามมากมายที่อยากจะถามแต่สุดท้ายกีกวังก็เลือกคำถามที่ดูโง่ที่สุดมาถาม อีกีกวังยังไงก็คืออีกีกวังที่ดูจุนรู้จักมาตลอดสามปี

 

“อื้มก็ดีแต่เหนื่อยหน่อย”

 

“ผอมลงมากเลยนะครับ”

 

“อื้ม” กีกวังเริ่มเบนสายตามามองมือตัวเองแทนเมื่อบทสนทนาจบลงเร็วกว่าที่คิดไว้ ปากอิ่มค่อยๆเม้มเข้าหากัน เขากำลังลังเลว่าควรพูดดีมั้ย

 

“คิดถึงนะ” เป็นเสียงทุ้มของคนข้างๆที่ชิงพูดก่อนเขา ตาใสเบิ่งกว้างเล็กน้อยไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ แม้จะรู้ว่ากีกวังนิสัยแบบไหนแต่เขาเดาอามรณ์กีกวังตอนนี้ไม่ได้เลย

 

ความผิดอาจจะเป็นที่เขาก็ได้

 

 

“ก็แค่เพื่อนอ่ะ”

 

“เพื่อนหรอใกล้กันขนาดนั้น เพื่อนทำไมไม่จูบกันไปเลยละ”

 

“พี่ดูจุน!!” ก่อนหน้าที่จะครบรอบสามปีในไม่กี่วันพวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว ดูจุนกลายเป็นหนุ่มมหาวิทยาลัยส่วนกีกวังก็เป็นเด็กไฮสคูลปีสุดท้าย

 

ความเครียดในการปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่การเรียนแบบใหม่ของดูจุน กับ ความเครียดที่จะต้องสอบเข้าและติดเพื่อนของกีกวังทำให้มันกลายเป็นปัญหามาโดยตลอด

 

ทุกๆครั้งที่เจอพวกเขาจะต้องทะเลาะกันไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งทุกครั้ง

 

“พูดจริง จูบมันไปเลยดิ”

 

ผัวะ

 

หมัดเล็กแต่แข็งแรงกระทบกับแก้มขวาของคนอายุมากกว่าด้วยแรงโทสะ เขาเหลือทนแล้วที่จะต้องมาฟังอีกคนมาพูดแดกดันเขาแบบนี้ กีกวังค้นกระเป๋าก่อนจะหยิบข้าวของทุกอย่างที่ดูจุนเคยซื้อให้รวมไปถึงกระเป๋าใบนั้นแล้ววางมันไว้เบาะหลังรถ

 

“พอเลิกเถอะ”

 

“…”

 

“ไม่ไหวแล้วว่ะพี่ ถ้าทุกครั้งที่เราเจอกันต้องทะเลาะกันแบบนี้” ตาใสวาวกว่าเดิมเพราะน้ำใสๆในตาแต่เจ้าตัวพยายามกลั้นมันไม่ให้ไหลลงมา

 

อย่างน้อยก็ต่อหน้าดูจุนไม่ให้มันไหลก็พอ

 

“ผมก็เบื่อแล้วที่ต้องเป็นแบบนี้”

 

“เอองั้นก็เลิกกันไปเลย” เพราะยังมีความโกรธที่คงค้างทำให้ดูจุนพูดตอบรับไปโดยไม่แม้แต่จะทำการปรับความเข้าใจกันแม้แต่น้อย คนตัวเล็กได้ยินคำตอบนั่นชัดเจนเต็มสองหูมือเล็กค่อยๆกำหมัดแน่นเพื่อสะกดอารมณ์ตัวเอง

 

“เออ” กีกวังเดินออกมาจากรถคันนั้นพร้อมๆกับความสัมพันธ์ของพวกเขาที่จบลง

 

 

 

“แค่คิดถึงตอนนั้น”

 

“…”

 

“แล้วก็คิดถึงมาตลอด” หลังจากที่เลิกกันดูจุนก็เข้าใจว่าการที่ไม่มีคนตัวเล็กมันไม่โอเคเหมือนที่คิดไว้เลย เขาอยากได้อีกคนกลับมาเหมือนเดิมแต่เพราะทิฐิของเขาเองทำให้เขาเองไม่กล้าที่จะไปหา พูดคุยหรือเจอหน้าเท่าไหร่

 

วันนี้คงเป็นโอกาสเดียวของเขาแล้ว เขาดีใจมากแค่ไหนที่เห็นอีกคนก้าวเข้ามาในร้านแถมยังเลือกที่จะนั่งข้างเขาอีกมันพอจะทำให้เขากล้าที่จะทำในสิ่งที่เขาควรทำมาตั้งนานแล้ว

 

“กีกวัง” เสียงใครบางคนกำลังเรียกคนตัวเล็กจากที่ไม่ห่างกันมาก กีกวังเหลียวไปมองตามเสียงเล็กน้อย

 

“พี่จุนฮยอง” ยงจุนฮยอง เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่กีกวังกำลังเป็นแบบให้อยู่แม้จะอายุเท่ากับดูจุนแต่อีกคนสามารถทำแบรนด์ของตัวเองออกมาให้เป็นที่ต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

 

เป็นคนที่เก่งคนหนึ่ง

 

เพราะแบบนี้สินะกีกวังถึงไปเป็นแบบให้ ท่าทางสนิทสนมพอจะบอกให้ดูจุนถอยออกมาอยู่เงียบๆก่อนจะตัดสินใจหันหลังแล้วเดินกลับไป

 

“คนนั้นนะหรอดูจุน” หัวกลมพยักหน้าให้กับคำตอบของจุนฮยอง คนตัวสูงกว่าขมวดคิ้วก่อนจะจับไหล่ของกีกวังไว้ให้อีกคนหันมามองเขา

 

“แล้วทำอะไรอยู่”

 

“ทำไมไม่ไปหาเขาละ” ทำไมจุนฮยองจะไม่ได้ยินที่ดูจุนพูดกับกีกวัง ทั้งที่ก็รู้ว่ากีกวังรู้โอกาสแบบนี้มานานขนาดไหนทำไมถึงปล่อยไปแบบนี้กันละ

 

“ถ้าแกไม่ตามเขาไปพี่จะไม่ให้ฮงกีมันรับแกเป็นน้อง” กีกวังได้แต่เบ้ปากให้อีกคน ตาใสมองแผ่นหลังของดูจุนด้วยท่าทางลังเลใจ จุนฮยองถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะพูดในสิ่งที่เขาคิดจริงๆ

 

ใช่ เขากับกีกวังกำลังมีอะไรบางอย่าง อย่างน้อยก็แค่คุยๆกันอยู่แต่เขาก็พอรู้ว่าเขาพัฒนาความสัมพันธ์นี้เกินพี่น้องไม่ได้เลย ในเมื่อเขาสู้คนในใจที่มีอยู่มาตลอดไม่ได้เลย

 

“พี่ไม่เป็นไร”

 

“กีกวังไปเถอะ” คนตัวเล็กโค้งขอโทษให้จุนฮยองก่อนจะตัดสินใจวิ่งไล่ตามหลังของดูจุนที่เหมือนจะไกลจนแทบมองไม่เห็น

 

 

อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้รู้ว่ากีกวังคงจะมีความสุขแน่ๆต่อจากนี้

 

 

สกิลนักฟุตบอลที่มีติดตัวมาทำให้เขาไล่ตามอีกคนได้ไม่ยากแต่จะคลาดกันก็ตอนที่จะข้ามถนนนี่แหละ

 

“พี่ดูจุน” เจ้าของชื่อค่อยๆหันกลับมามองก่อนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นกีกวังเองที่เป็นคนเรียก ยังไม่พอมือเล็กยังเข้ามากุมมือเขาไว้ก่อนจะพากันเกินข้ามถนนตามสัญญาณไฟ

 

“กีกวัง? ทำไมไม่กลับบ้าน”

 

“พี่บอกคิดถึงผมไม่ใช่หรือไง”

 

“ก็ใช่”

 

“ก็แค่อยากจะบอกว่า” กีกวังกระชับมือที่กุมอีกอยู่ให้เป็นการประสานมือกันก่อนจะเดินไปตามท้องถนนที่แม้จะดึกมากแล้วแสงไฟที่เหลือตามข้างทางกลับทำให้กีกวังอดยิ้มออกมาไม่ได้

 

“ว่าอะไรละ”

 

“ว่าคิดถึงเหมือนกันนะ”

 

THE END

 


 

 

(fic) junkwang – To Him

Title: To Him

Pairing: YongJunHyung x LeeGikwang

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : แรงบันดาลใจเรามาจากเพลงนี้ค่ะ แม้เนื้อหาจะไม่เกี่ยวกันมากก็เถอะ555

 


 

คนตัวเล็กกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นขนาดเล่นเพื่อที่จะได้เริ่มอ่านหนังสือที่เขาซื้อมาตั้งนานแต่ยังไม่ได้เปิดเสียที เจ้าของบ้านที่กำลังเดินมาหาคนตัวเล็กด้วยความเร็วก่อนจะนั่งปุลงที่ข้างๆกันพลางยิ้มกว้างให้อีกคน จนคนตัวเล็กกว่าอดยิ้มกลับไม่ได้

 

“มีไรอ่ะ” เขาถามด้วยความสงสัยก็อยู่คนที่นั่งยิ้มอยู่กับเขาตอนนี้เพิ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมา

 

“ยงจุนฮยอง?” จนแล้วจนรอดคนที่เอาแต่ยิ้มก็ไม่ยอมพูดอะไร จนเขาต้องเอามือทั้งสองเขามาแปะไว้ที่ข้างแก้มของอีกคนเพื่อเรียกสติ

 

แทนที่จะได้คำตอบเป็นคำพูดกลับได้หูฟังมาข้างหนึ่งเขาเลยจำใจต้องยัดมันลงในหูของตัวเองส่วนอีกข้างก็อยู่ที่จุนฮยอง เพลงสไตล์ฮิปฮอปดังขึ้นมาจังหวะบีทหนักๆที่เขาไม่คิดจะฟังเองเลยแม้แต่น้อย ถ้อยคำที่นักร้องพูดออกมาราวกับว่ากลัวใครแย่งพูด การด่าสังคมที่มีการเปรียบเปรยจนจบเพลง

 

“เป็นไง” คนที่ทำหน้าตาเฝ้ารอคำตอบเขาเขาเลยได้แต่ยิ้มแห้งให้พลางพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าเป็นคนฟังฮิปฮอปก็คือเพราะใช่มั้ย

 

 

“กีกวัง”

 

“อีกีกวัง” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นข้างๆหูจนเจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว เฮดโฟนในมือแทบจะร่วงๆไปกองดีที่ยังเก็บทันไม่งั้นกีกวังจะต้องได้เสียค่าเฮดโฟนให้ร้านแน่ๆ เขาหันไปมองคนที่ยิ้มให้ก่อนจะวางเฮดโฟนไว้แล้วจับมืออีกคน

 

“ผมไปก่อนนะครับ” จุนฮยองโบกมือลาเจ้าของร้านขายอัลบั้มที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก่อนจะพาทั้งเขาและกีกวังออกไปหาอะไรกิน

 

“อ่ะ” อยู่ๆคนที่จูงมือเขาออกมาก็เกิดอยู่ชะงัก กีกวังเหลียวไปมองตามที่อีกคนกำลังยืนมองอยุ่ก่อนจะพบร้านขายสัตว์ที่ไม่ใช่แค่วันนี้ที่จุนฮยองจะชอบมายืนจ้องเจ้าสัตว์สี่ขาที่น่ารัก แต่ก็เป็นทุกครั้งที่พวกเขาออกมาซื้ออัลบั้มกัน

 

“จุนฮยอง กีกวังหิวข้าว” เสียงอ่อนของเขาสามารถใช้เรียกสติอีกคนได้ดีเสมอ คนที่เดินนำหน้ากว่าเล็กน้อยพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปที่ร้านอาหารอย่างที่ตั้งใจไว้

 

 

“นี่” ระหว่างที่กินข้าวกันเกือบเสร็จกีกวังก็เปิดบทสนทนาที่เจ้าตัวคิดว่าอีกคนคงต้องแอบหงุดหงิดเขาแน่ๆแต่ยังไงเขาก้ต้องยอมเสี่ยง

 

“พรุ่งนี้ขอไปเตะบอลนะ” จุนฮยองขมวดคิ้วทันที เขาไม่อยากให้อีกคนไปเล่นบอลเท่าไหร่เพราะทุกๆครั้งที่เล่นกลับมากีกวังจะต้องได้แผลไม่ก็ข้อพลิกมาทุกครั้ง จะไม่ให้เขาเป็นห่วงได้ยังไงละ

 

“คือพรุ่งนี้พี่ที่เป็นทีมชาติเขาจะมาเล่นด้วยอ่ะ” เสียงพูดเริ่มเบาขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่ขมวดคิ้วให้เขาจนกีกวังเองก็ไม่กล้าจะสบตากับคนตรงหน้า

 

“ได้ แต่จุนฮยองไปกับกีกวังนะ”

 

 

“แล้วแฟนมึงมาทำไรแถวนี้วะ” ดูจุนหันมากระซิบกระซาบกับคนตัวเล็กที่ยังคงผูกเชือกรองเท้าเพื่อเตรียมตัวไปวอร์มร่างกาย

 

“เอ้า มานอนเล่นมั้ง” ก่อนที่คนตัวโตจะฟาดมือลงหัวเขาได้กีกวังก็รีบวิ่งหนีเข้าสนามไปก่อน ตาใสหันกลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างสนามที่กำลังนั่งฟังเพลงอยู่ก่อนจะโบกมือให้เป็นสัญญาณว่าอยู่ตรงนี้รอเขา

 

 

“เหนื่อยมั้ย” จุนฮยองยื่นขวดน้ำให้คนที่นั่งลงข้างตัวพร้อมกับเหงื่อที่โชกตัวจนเหมือนอาบน้ำมา ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังยิ้มกว้างมาให้จุนฮยองอยู่ดี

 

อ่า น่ารัก

 

“อ่ะ ทำไรหน่ะ” อยู่ๆอีกคนก็เกิดเพี้ยนยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนกีกวังต้องหดคอหนี จุนฮยองยิ้มมุมปากให้เมื่อเห็นแววตาสั่นๆจากอีกคน

 

“จะขอ”

 

“ขอ?”

 

“เฮ้ยเตี้ย” ไม่ทันได้อะไรอย่างที่ขอกีกวังก็โดนเรียกให้เข้าสนามเพราะหมดเวลาแล้ว ก็เป็นจุนฮยองที่นั่งหงอยรอต่อไป

 

 

มันอดไม่ได้ที่จะแอบมองไปทุกทีจนทำให้สมาธิในการเล่นน้อยลง เพราะคนที่อยู่ข้างสนาม

 

ไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว

 

แต่กีกวังไม่ใช่คนขี้หึงถึงขั้นที่อยากจะเดินเข้าไปแยกพวกเขาออก แม้ว่าจะดูนั่งหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างออกรสจนเขาเผลอเตะบอลแรงจนชนเสาโกลล์

 

“ใจเย็นไว้อีกีกวัง” ได้แต่บอกตัวเองให้สงบจิตใจแล้วตั้งใจเล่นกับเพื่อนๆในสนามเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงทีมอีก

 

แต่อย่างนั้นมันก็มีเหลือบไปมองบ้าง

 

 

“แล้วเขาก็เลี้ยงหมาด้วยแหละอยากเลี้ยงบ้างจัง แล้วบังเอิญอี้กที่เขาก็ชอบฮิปฮอปเหมือนกัน ตลกดีเนอะ” ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกมืดได้มานานพอสมควรทั้งจุนฮยองกับกีกวังกำลังจะไปกินข้าวกัน ในรถดูบรรยายแปลกไปเล็กน้อยในปกติแล้วจะเป็นกีกวังที่พูดให้จุนฮยองฟังหลังจากเล่นบอลเสร็จ แต่วันนี้กลับเป็นคนที่ขับพูดส่วนคนตัวเล็กกว่าหันไปสนใจวิวด้านนอกมากกว่าแทน

 

เขาไม่อยากให้จุนฮยองเลี้ยงหมาเท่าไหร่แม้จุนฮยองจะชอบมากแต่กีกวังรู้ว่ามันต้องใช้ความรับผิดชอบ กีกวังกลัวว่าเจ้าหมาน้อยจะโดนละเลย หรือแม้แต่การที่พวกเขาสองคนไม่มีเวลาให้มัน

 

“อยากเจออีกจัง”ไม่รู้ว่าจุนฮยองตั้งใจแบบนั้นจริงๆหรือแค่พูดเพราะถูกใจแค่นั้น แต่มันสะกิดใจกีกวังมากพอ

 

 

 

“จุนฮยองไปไหนอ่ะ” กีกวังตะโกนถามคนที่กำลังใส่รองเท้าเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ปกติแล้วจุนฮยองไม่ใช่คนชอบออกบ้านเท่าไหร่เป็นกีกวังเองมากกว่า แต่ช่วงนี้เจ้าของบ้านกลับไม่ค่อยอยู่บ้านและเป็นกีกวังเองที่ติดบ้านแทน

 

“ออกไปหาเพื่อนหน่ะ”

 

“เพื่อน?”

 

“ใช่ กีกวังกินข้าวก่อนเลยนะ”เสียงประตูปิดก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะได้ท้วงอะไร

 

“อีกแล้วหรอ” หลังจากวันนั้นวันที่จุนฮยองไปเฝ้ากีกวังเล่นบอลไม่รู้ว่าเขาคิดเองรึป่าวว่าจุนฮยองดูจะติดโทรศัพท์มากขึ้นแถมยังออกบ้านบ่อยขึ้น

 

โดยที่ไม่พาเขาออกไปด้วย

 

เป็นอย่างนี้มาเกือบเดือนแล้ว

 

 

“อื้ม ไว้เจอกันนะ” จุนฮยองวางสายจากคนที่เขาเพิ่งไปส่งถึงบ้านก่อนจะกลับมาถึงบ้านตัวเองบ้าง ไฟที่ห้องนั่งเล่นยังสว่างโล่ทั้งๆที่เวลานี้คนตัวเล็กของเขามักจะไปขลุกอยู่ในห้องนอนแล้ว

 

“กีกวัง?” เขาเรียกคนที่ยังคงเล่นเกมคอนโซลอยู่หน้าจอไม่ไปไหน เจ้าของชื่อทำเพียงแค่การขานตอบรับเขาเท่านั้นแต่ตาใสยังคงจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์

 

อาบน้ำก่อนแล้วกัน

 

“จุนฮยอง” คนที่เพิ่งนั่งเล่นเกมย้ายตัวเองขึ้นมานั่งบนเตียงเป็นที่เรียบร้อย เสื้อกล้ามสีขาวกับบอกเซอร์ที่เรียบง่ายผมยุ่งๆของเจ้าตัวทำให้จุนฮยองอยากจะจับฟัดซักที แขนของคนตัวเล็กยื่นมาด้านหน้าราวกับขอให้เขากอด

 

“เป็นอะไรละเนี่ยหื้ม?” จุนฮยองจัดการสวมกอดอ้อมแขนที่รออยู่พลางโยกตัวคนที่เอาแต่มุดตัวเองอยู่กับอกเขา มือที่ว่างก็ลูบผมที่ยุ่งของเจ้าตัวไปมา

 

“จุนฮยองอ่า”

 

“ครับ กีกวัง”

 

“จุนฮยอง” ตาใสที่ดูวาวขึ้นกว่าปกติเพราะอยู่ๆคนที่เรียกชื่อก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยตาที่รื้นน้ำตาเล็กน้อย จุนฮยองได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูกจับอีกคนมานั่งตักเขาก่อนจะสบตาใสที่กำลังพยายามจะหลบตาเขาอยู่

 

“ไหนบอกสิใครทำไรกีกวัง” คนที่โดนจับคางให้หันมาสบตากันเบาๆได้แต่เม้มปากว่าเขาควรจะพูดจริงๆมั้ย

 

“จุนฮยองรู้ใช่มั้ยว่ากีกวังไม่ชอบ..”

 

“ไม่ชอบเพลงฮิปฮอป ไม่ชอบหมา แพ้ขนแมว เอาไหนละ” ไม่ต้องบอกว่าคนที่กำลังจะถามอึ้งไปแล้วเรียบร้อยเมื่อจุนฮยองพูดในสิ่งที่เขากำลังอยากจะพูดและคงรู้แล้วเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ดึงตัวเขาไปกอดแน่นๆพลางโยกตัวอีกที ไอน้ำตาที่ตอนแรกว่าจะแค่คลอๆดันพาลจะไหลเอาดื้อๆ

 

“ฉันรู้หมดแหละ”

 

“แต่ฉันขอโทษนะที่บังคับให้กีกวังต้องมาทำอะไรที่ไม่ชอบแบบนี้” จุนฮยองไม่ใช่คนโง่ เขาก็พอจะรู้ตัวดีแต่เพราะเวลาที่เขาชอบอะไรเขาก็อยากจะแชร์ให้คนที่รักเขาชอบด้วย แต่คงไม่ใช่กับกีกวังซักเท่าไหร่

 

หลังจากวันนั้น วันที่จุนฮยองไปที่สนามบอลกับกีกวังแล้วบังเอิญเจอกับจางฮยอนซึง คนที่แทบจะมีทุกอย่างคล้ายเขา เพราะความชอบที่เหมือนกันทำให้เขารู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์มันพัฒนาไปรวดเร็วเหลือเกิน

 

จนบางทีจุนฮยองก็คิดว่าฮยอนซึงคือคนที่ใช่มากกว่า

 

แต่พอผ่านไปได้เกือบสองอาทิตย์เขาถึงรู้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้ต้องการคนที่เหมือนกันมาเป็นคนรักเขาแค่ต้องการเพื่อนที่ไว้คุยเรื่องเดียวกัน เขามีคนที่รักและรักเขามากพอแล้ว

 

จุนฮยองยังชอบที่จะเห็นหน้ามุ่ยๆของกีกวังเวลาเขาให้ฟังเพลง

 

จุนฮยองยังชอบที่ได้เห็นกีกวังแทบกระโดดขี่หลังเขาเวลาเจอเจ้าหมาน้อยหรือแมว

 

จุนฮยองยังชอบทุกอย่างของกีกวัง

 

และมันยังไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ

 

“มันก็น่าน้อยใจมั้ยละ” เสียงอู้อี้เพราะเจ้าตัวเอาแต่ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขา อกเปียกเพราะน้ำตาของอีกคนจนจุนฮยองเผลอกอดอีกคนให้แน่นกว่าเดิม

 

เขาไม่น่าทำให้กีกวังเป็นแบบนี้เลย

 

“ขอโทษครับ”

 

“ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ”

 

“จะไม่เป็นแบบนี้แล้วครับ สัญญา”

 

THE END

 

(fic) junkwang – coffee or me

Title: coffee or me

Pairing: YongJunHyung x LeeGikwang

Rate: nc-15

Author: red.bunny

NOTE : ยังไม่เอ็นซีมากนะคะ แค่เรตนิดๆ ใครรู้ว่าใช้เรทแบบไหนดีช่วยบอกทีนะคะ5555 พอดีว่าเห็นคำนี้ในทวิตเลยเอามาแต่งดู จริงๆเรามีอีกพลอตเรทๆอีกแล้ว5555

 


 

 

 

 

“ไงกีกวัง” เขาหันไปมองตามเสียงที่เพื่อนเขาพูดก่อนจะพบกับเจ้าของชื่อที่เดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอยู่ ก่อนเจ้าตัวจะนั่งลงบนโซฟาที่นั่งประจำ

 

“วันนี้อยู่ดึกเลยละสิ” เป็นกีกวังที่กำลังคุยอยู่กับเพื่อนเขา ส่วนเขายังคงหมกหมุ่นอยู่กับการแต่งเมโลดี้เจ้าตัวเองก็คงไม่อยากมากวนมากนักถึงได้ไปนั่งคุยกับเพื่อนเขาแทน

 

“เอ้า ยงจุนฮยอง” สัมผัสเย็นๆที่เกิดจากที่เพื่อนเขาเอาแก้วเครื่องดื่มมาแนบกับแก้มเขาจนเผลอตกใจก่อนจะมองด้วยความไม่พอใจแต่ก็คว้าแก้วไปดูด

 

“ดูทำหน้าดิ้ ฮ่าๆ” จุนฮยองเลิกสนใจเพื่อนเขาแล้วหันไปมีสมาธิกับเจ้าเครื่องด้านหน้าตัวเองมากกว่า

 

“แล้วนี่ซ้อมเสร็จแล้วหรอ” เพราะได้ยินว่าอีกคนจะมีโซโล่เป็นของตัวเองแถมรอบนี้เหมือนเจ้าตัวจะมีส่วนร่วมกับทุกกระบวนการ ถึงไม่ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตานัก น้อยครั้งมาดึกๆแบบนี้จนเขาชักจะเป็นห่วง

 

เป็นห่วงเพื่อนรักเขามันจะเหงาตายก่อน

 

“ใช่ เหนื่อยสุดๆอ่ะ” กีกวังตอบรับก่อนจะบ่นเรื่องต่างๆให้ฟัง ในขณะที่ตาก็ยังมองไปที่คนนั่งทำเพลงเป็นระยะ

 

“เออกลับก่อนนะ” จนเวลาล่วงมามากตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วยังไงการกลับบ้านตรงเวลาก็คงเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ยิ่งที่เกิดขึ้น แรกๆมันก็ไม่ชินเท่าไหร่แต่พอทำไปนานๆมันก็กลายเป็นความชินแล้วเป็นสิ่งที่ต้องทำไปซะแล้ว

 

“อื้ม กลับดีๆนะ” กีกวังบอกลาก่อนที่เขาจะเอ่ยบอกคนที่ยังทำเพลงไม่สนใจใครทั้งนั้นให้รู้

 

งานก็ไม่ได้รีบขนาดนั้นนี้

 

สตูดิโอเหลือคนเพียงสองคนที่นั่งห่างจากกันไม่มากมีเพียงแค่เสียงดนตรีที่ดังเป็นระยะแทนบทสนทนาที่ควรจะมี ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด

 

มือหนาคว้าแก้วอเมริกาโน่เย็นมาดูดแต่ก็พบว่ามันหมดแล้ว เขาควรไปซื้อเพิ่มสินะ

 

จุนฮยองตัดสินใจลุกจากที่นั่งเพื่อไปหาซื้อคาเฟอีนมาให้ร่างกายเพิ่ม มือคนที่นั่งอยู่โซฟาคว้าไว้ก่อนเขาจะออกจากห้องได้

 

“งานเร่งหรอ”

 

“ก็ไม่นะ”

 

“งั้นยังไม่ทำได้มั้ย” ไม่รู้ว่าอีกคนมาไม้ไหน สายตาหมาน้อยอ้อนถูกงัดขึ้นมาใช้อีกครั้งและทุกครั้งเขาจะต้องแพ้ให้มันทุกที

 

“ระหว่างกาแฟหรือฉันละ”

 

 

“อ่ะ เดี๋ยวก่อน อื้ม” เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะเพราะความรีบร้อนของอีกคนจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว

 

แคบเกินไป

 

กีกวังบ่นในใจถึงอย่างนั้นเขาก็ท้วงอะไรไม่ได้เมื่อมือของอีกคนขย้ำสะโพกเขาตามแรงอารมณ์มากขึ้นทุกที เบาะคนขับที่จุนฮยองนั่งอยู่เขาที่นั่งคร่อม จมูกโด่งของอีกคนและปากกำลังวนเวียนอยู่กับหน้าอกของกีกวัง

 

“มีหรอในรถ” มือกีกวังกำกลุ่มผมของจุนฮยองเพื่อระบายความเสียวเมื่ออีกคนเริ่มสอดนิ้วเข้าไปในช่องด้านหลัง สะโพกสอบขยับชิดบดเบียดกับอีกคน ขย่มเบาๆเพื่อให้แก่นกายเสียดสีกัน

 

“ไม่มี”

 

“ไม่ได้สิ” แขนคล้องอยู่กับคอถึงกับผละออกทันทีที่เขาถามถึงสิ่งที่ต้องใช้ จุนฮยองจิ๊ปากเล็กน้อยแต่ก็ยอมใส่กางเกงและกลัดกระดุมให้เรียบร้อย

 

เสื้อยืดโอเวอร์ไซต์สีขาวถูกดึงกลับมาที่เดิมเช่นเดียวกับกางเกงวอร์มสีดำของเขาก่อนจะเปิดประตูด้านคนขับเพื่อลงไป ก่อนจะตามมาด้วยเจ้าของห้องอย่างจุนฮยอง

 

 

“อย่าเพิ่งเดี๋ยวคนเห็น” มือหนายังคงวนเวียนอยู่กับเอวของเขาทั้งลูบและขยำอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์ กีกวังได้แต่ภาวนาให้ถึงเลขชั้นที่ต้องการเร็วๆ

 

“อืม จุนฮยอง” คอขาวถูกซอกไซ้อีกครั้งแม้ว่าจะโดนดันเท่าไหร่อีกคนก็ไม่ยอมละจะลำคอของกีกวังซักที จนกีกวังเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหมดแรงเอาดื้อๆ

 

น่ารัก

 

เมื่อมือที่ดันอกเขาอยู่ค่อยๆอ่อนแรงลงตรงข้ามกับลมหายใจของอีกคนที่รู้สึกจะหายใจแรงขึ้น ติดขัดขึ้น มือเขาค่อยล้วงเขาไปในสาบเสื้อของอีกคน ก่อนจะลูบตามหน้าท้องที่เป็นกล้ามของอีกคน

 

ติ้ง

 

เจ้าคนในอ้อมแขนแทบจะวิ่งออกจากลิฟต์ให้ได้ เขาได้แต่ยิ้มขำให้ในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนชวนเขาไม่ใช่หรือไงเกิดเขินขึ้นมาซะดื้อๆ

 

ถ้าไม่ติดว่าในรถไม่มีนะ

 

ได้แต่แค้นใจที่ไม่ได้ซื้อเตรียมไว้ในรถคงเพราะเขาไม่คิดว่าจะมีอะไรแบบนี้ในรถบ่อยนัก พอมีขึ้นมาถึงได้ไม่พร้อมกันแบบนี้ไง

 

แกร่ก

 

ปัง

 

“ฮื่อ” ทันทีที่เปิดประตูจุนฮยองดันอีกคนให้ติดประตูก่อนจะประกบปากอิ่มที่ดูเหมือนจะยั่วมากขึ้นเพราะจากเหตุการณ์ในรถที่ผ่านมา

 

ปากหนาค่อยๆแทรกเข้าไปในโพรงปากของอีกคน ลิ้นเล็กกว่าตวัดอย่างรู้งาน กีกวังจูบเก่งกว่าที่ใครหลายคนคิด ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ได้อยากให้ใครมาลองมากนักหรอก

 

มืออยู่ว่างลูบไล้ตามร่างของอีกคนก่อนจะล้วงเข้าไปในเสื้อยืดตัวบางของอีกคน บดขยี้ยอดอกของอีกคนให้ได้ยินเสียงครางในลำคอด้วยความทรมานนั้น

 

“ห้องนอน” จุนฮยองแทบจะอุ้มอีกคนไปในทันทีที่เสียงแหบนั้นกระซิบข้างหูเขา

 

 

 

สิบโมงเช้าแล้ว สำหรับกีกวังยังถือว่าเช้าไปด้วยซ้ำกับคนที่ใช้เวลาช่วงกลางคืนมากกว่า แต่เพราะว่าเหนียวตัวจนทนไม่ไหวเลยต้องพยายามฝืนตัวเองไปอาบน้ำ

 

แล้วค่อยมานอนต่อแล้วกัน

 

เมื่อคืนกว่าที่จะได้นอนก็ตีสามเข้าไปแล้ว

 

เสียงน้ำในห้องน้ำดังพอจะปลุกอีกคนให้ตื่นได้ก่อนจะพบว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆไม่อยู่แล้วก่อนจะพาตัวเองลุกบ้าง เพราะเขาแค่รู้สึกว่าตัวเองคงนอนต่อไม่ได้แล้วก็เท่านั้น

 

ยืนเหม่อรอกาแฟที่ไหลมาจากเครื่องจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่อีกคนเดินเข้ามากอดเอวเขาจากด้านหลังแล้ว กลิ่นแชมพูจากอีกคนทำให้เขาต้องหมุนตัวไปหาอีกคนก่อนจะหยิบผ้าเข็ดผมมาเช็ดให้เล็กน้อย

 

ปากอิ่มยื่นเข้ามาประกบกับปากของเขาก่อนจะแทรกลิ้นเล็กเข้ามากวาดความหวาน จูบของกีกวังไม่เคยมีความรีบเร่ง เหมือนกับกีกวังที่ใจเย็น ช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป แต่น่าหลงใหลอยู่เสมอ

 

“ฉันหรือกาแฟละ?”

 

“ไหวหรอ” น้ำเสียงเหมือนจะถามด้วยความเป็นห่วงแต่มือของจุนฮยองกลับไปอยู่ที่แผ่นของอีกคนแล้ว แขนของคนที่อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยๆคล้องกับคออีกคนก่อนจะออกแรงดันให้จุนฮยองชิดกับเคาท์เตอร์แทรกขาตัวเองไว้ระหว่างขาของจุนฮยอง

 

“ก็มีเวลาทั้งวันนะ” สายตาที่เจ้าตัวชอบใช้เวลาถ่ายแบบ สายตาที่ชวนเข้าไปค้นหาใกล้ๆน่าเย้ายวน สายตาราวกับเชิญชวนให้จุนฮยองเข้าไปสัมผัสทุกส่วนในร่างกายที่แม้ว่าเขาจะสัมผัสมากี่ครั้งก็ไม่เคยพอ

 

“ทำไมใจดีจังวันนี้”

 

“ก็คิดถึงอ่ะไม่ได้หรอ”

 

“ได้ครับได้ทั้งวันเลย”

 

(fic) seobkwang – i hate u, i love u

Title: i hate u, i love u

Pairing: YangYoseob x LeeGikwang

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : เราชอบพิมพ์ไปแล้วคิดชื่อไม่ออกเลยได้ชื่อเห่ยๆแบบนี้แหละค่ะ / เวลาอ่านเรื่องไหน แม้แต่เราแต่งเองอีกีกวังกับยังโยซอบมักจะเป็นเพื่อนกันเสมอ ถ้าไม่ละ…แต่งเยอะกว่าแต่งจุนกวังอีกค่ะ ร้องหั้ย5555555 18 หน้าค่ะ5555555555555555555555555

 


 

 

ยังโยซอบ ปี3 เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักจากมหาวิทยาลัยศิลปะKK ทั้งทักษะการร้องเพลงที่ยอดเยี่ยมจนใครก็อยากได้ร่วมวงด้วย คะแนนด้านการเรียนที่อยู่ในระดับท็อป3 ของสาขาร้องเพลง บุคลิกที่เย่อหยิ่งกลับทำให้ใครต่อใครก็ยอมอยากจะเป็นทาสของยังโยซอบทั้งนั้น

 

“เฮ้ ขอนั่งด้วยคนสิครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นตรงหน้าของโยซอบเอง วันนี้เป็นอีกวันที่เขากับเพื่อนมาหาอะไรทำแก้เบื่อด้วยอำนาจเงินของพ่อแม่แล้วเรื่องการเข้าสถานบันเทิงทุกวันไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว ถ้าหากเขายังสามารถรักษาการเรียนได้เป็นอย่างดี

 

คนตัวเล็กเผลอมองอีกคนเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางเมื่อรู้ว่าอีกคนเป็นใคร

 

ยงจุนฮยอง ลูกชายเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนี้และยังรวมไปถึงอีกสามสี่ที่ตามจังหวัดต่างๆ เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง ถึงอย่างนั้นใครหลายคนก็ยังยอมที่จะได้นอนบนเตียงห้องวีไอพีชั้นบนสุดของโรงแรมแห่งนี้ที่จุนฮยองเองก็เป็นเจ้าของอยู่

 

ชายหนุ่มที่มาด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายที่เปิดให้เป็นรอยสักตรงหน้าอกกับกางเกงยีนส์สีดำนั่งลงข้างๆกับเขา โต๊ะวีไอพีที่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆเขาจะทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแล้วไปที่ฟลอร์เต้นกันหมด

 

“มากันเยอะหรอครับ” เมื่อเห็นว่าโต๊ะวีไอพีของโยซอบแทบจะเหมือนมากันสิบถึงแปดคนได้

 

“ไม่หรอกครับมากันสี่คนเอง” มือเล็กจับแก้วของตัวเองที่ยังมีน้ำสีอำพันมาจิบก่อนจะเท้าคางมองอีกคนเล็กน้อย

 

“แล้วตอนนี้เพื่อนไปไหนหมดละครับ” จุนฮยองค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับอีกคน จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ข้างหูจนโยซอบรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกคน

 

“อื้ม อย่าทำแบบนี้สิครับ” เขาทำเป็นเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยก่อนจะถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เขยิบตัวที่แทบจะเกยขึ้นตักอีกคนให้ห่างเลย

 

“พรุ่งนี้มีเรียนเช้ามั้ยครับ”

 

“อือ ถึงมีผมก็ตื่นทันครับ”

 

แต่ก่อนที่จะได้ไปถึงไหนต่อไหนเสียงฮือฮาจากฟลอร์เต้นชั้นล่างก็เปลี่ยนความสนใจของคนทั้งสองคนแทน

 

“กีกวังมาหรอ”

 

“ใช่เห็นว่าเต้นอยู่ข้างล่างแหนะ” เสียงพูดคุยที่เดินผ่านโต๊ะของพวกเขาไปทำให้โยซอบเลิกคิ้วเล็กน้อย

 

อีกีกวังมาทำอะไรที่นี่

 

อีกีกวัง นักศึกษาชั้นปีเดียวกับเขาแต่คนละสาขา ชายหนุ่มที่ได้รับเลือกให้แสดงงานของคณะทุกปี ดาวเด่นของสาขาการแสดง บวกกับความสามารถในการเต้นและการเล่นกีฬาที่ไม่ธรรมดาทำให้เจ้าตัวมีคนรายล้อมอยู่พอสมควร รอยยิ้มหวานและความอัธยาศัยดีที่ให้ใครๆก็อยากเข้าใกล้

 

เขาว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

 

เหมือนกับยังโยซอบกับอีกีกวัง

 

ทุกคนอยากเข้าใกล้แต่ไม่ใช่ยังโยซอบคนนี้ เขาเกลียดรอยยิ้มและตายิ้มของอีกีกวัง

 

แสแสร้งซะไม่มี

 

เพราะแบบนั้นไม่ว่าที่ไหนจะคลับหรือผับแทบจะไม่มีทางที่กีกวังกับโยซอบจะมาที่เดียวกันได้ ยกเว้นคืนนี้ที่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะใจตรงกันมาที่นี่

 

“พี่เข้าตัวแปปนะครับ” อยู่ๆจุนฮยองก็ขอตัวไป เขาพอจะรู้ว่าอีกคนไปไหนจนเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

ใครๆก็อยากเห็นกีกวังเต้นทั้งนั้น

 

 

ไม่ใช่แค่ท่วงท่าที่ทำให้ชวนมองแต่เป็นสายตาของอีกคนที่เหมือนกำลังยั่วยวนให้เดินเข้าไปลูบไล้ส่วนต่างๆในร่างกายของอีกคน แม้ว่าอีกคนจะใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสกินนี่ยีนส์สีดำก็พอจะทำให้รู้สึกเซ็กซี่ได้

 

หลังจากเต้นเสร็จเขาก็เดินมาหาเพื่อนๆที่ตรงเคาท์เตอร์เป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่เครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์จะส่งมาให้เขาโดยเฉพาะ

 

“ผมไม่ได้สั่งนี่ครับ” กีกวังทำหน้างงเมื่อบาร์เทนเดอร์ยังคงยืนยันว่าเป็นของเขาจริงๆ เขาเป็นประเภทเที่ยวแต่ไม่ดื่มเท่าไหร่ เพื่อนๆก็พอจะรู้อยู่ว่าลิมิตเขาอาจจะแค่คอกเทลสองแก้วซะด้วยซ้ำ แต่นี่คอกเทลที่ดีกรีค่อนข้างแรงถูกส่งมาตรงหน้าเขา

 

“ผมสั่งให้เองครับ” จุนฮยองเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะประจันหน้ากับอีกคน กีกวังยิ้มหวานให้พลางเอ่ยขอบคุณก่อนจะจิบเล็กน้อยเพื่อมารยาท แต่พออีกคนเลิกคิ้วให้เป็นเชิงวันช็อตเขาถึงจำใจดื่มให้หมด

 

“ไม่คิดนะครับว่าแค่ไปเต้นก็ได้ของฟรีซะแล้ว” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยทีเล่นทีจริงให้เจ้าของที่แห่งนี้ จุนฮยองยิ้มกลับเล็กน้อยขยับตัวเองมาใกล้ๆแล้วกระซิบข้างหูอีกคน

 

“ทำไมไม่ลองมาเต้นให้ผมดูแบบส่วนตัวบ้างละครับ” กีกวังยิ้มตาหยีให้ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปเป็นอย่างอื่นบ้างก่อนจะชวนอีกคนไปที่ฟลอร์เต้นอีกครั้ง จนไม่แน่ใจว่าจุนฮยองหรือกีกวังกันแน่ที่โชคดีมากกว่ากัน

 

 

“กลับดีๆละ” กีกวังโบกมือลากับเพื่อนๆที่หน้าผับหลังจากที่เลยเวลามามาก เขาปฏิเสธที่จะขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของตึกวันนี้กับจุนฮยอง คงเพราะการซ้อมบอลวันนี้เล่นงานเขาจนพลังงานแทบไม่เหลือแล้วที่ไปเต้นบนฟลอร์นั่นก็เพราะเขาไปท้ากับเพื่อนไว้หน่ะสิ

 

“ดึงความสนใจของจุนฮยองมาจากโยซอบให้ได้” ก็แค่นั้น

 

“เว้ยทำไมมันเปิดไม่ได้ซักที” เสียงโหวกเหวกโวยวายจนกีกวังต้องหันไปมองก่อนจะพบคนที่เขาไม่ค่อยอยากจะเจอเท่าไหร่กำลังทะเลาะอยู่กับรถยนต์อยู่

 

ก็มันจะเปิดได้ไงในเมื่อมันคนละคันกันหน่ะ

 

เสียงจากรถยนต์ของเจ้าตัวยังทำงานได้ดีเพียงแต่เจ้าของดันยืนอยู่ผิดตำแหน่งไปซักหน่อย

 

พูดไปก็เท่านั้นเหมือนอีกคนจะเมาได้ที่แล้วกำลังทุบกระจกรถคนอื่นอยู่อย่างนั้น กีกวังเลยจำใจต้องไปช่วยในเมื่อเขาเหลียวมองแถวนี้มันเหลือแต่เขาแล้วจริงๆ

 

ก่อนที่กระจกนั้นจะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะแรงของคนเล่นมวยเป็นการออกกำลังกาย

 

“นี่ รถนายอ่ะคันนู้น” กีกวังคว้าข้อมืออีกคนไปยังรถของเจ้าตัวได้เรียบร้อยก่อนจะหมุนตัวกลับแต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเจ้าของรถคล้าแขนเขาไว้

 

ให้ตายสิ อีกคนมีแรงเยอะขนาดนี้เลยรึไง

 

“กีกวัง?”

 

“ก็ใช่หน่ะสิ”

 

“เหอะ” กีกวังขมวดคิ้วมองอีกคนที่แทบจะเอาหน้ามาชนเขาอยู่แล้ว อยู่ๆก็พ่นลมหายใจใส่เขาซะเฉยๆ เขาว่าสภาพแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าจะขับรถยังไง ถามว่าจะเข้ารถตัวเองได้มั้ยยังไม่รู้

 

 

“ฉันเกลียดนาย”

 

“รู้แล้ว” กีกวังตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจท้องถนนต่อไป ขอบคุณที่โยซอบเอาคีย์การ์ดคอนโดของตัวเองไว้ในกระเป๋ากางเกงพอดีกีกวังเลยพอจะรู้ว่าอีกคนอยู่ที่ไหน

 

ไปส่งถึงห้องก็พอ

 

คิดได้แค่นั้นก็ตั้งใจขับรถต่อไปแต่เหมือนคนที่นั่งข้างเขาจะเริ่มอยู่ไม่สุกเมื่ออีกคนเริ่มเร่งแอร์เพิ่ม จนเขาต้องเอามือขึ้นมาหยุดอีกคน ไม่ทันได้ชักกลับเจ้าตัวก็คว้ามือเขาไป

 

“ฉันเกลียดนายอีกีกวัง” แถมยังพูดกับฝ่ามือเขาอีกต่างหาก

 

“ทำไมถึงเกลียดฉันละ” จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงถูกอีกฝ่ายเกลียดแถมยังแสดงท่าทางว่าไม่แม้แต่อยากจะเฉียดใกล้เขา พอเป็นแบบนั้นเขาเองก็ไม่อยากมีปัญหาถึงได้พยายามไม่อยู่ใกล้วงโคจรของอีกคนเช่นกัน

 

“ตอนปี1 นายมองฉัน” กีกวังยังคงงุนงงว่าอีกคนต้องการพูดอะไร ยังโยซอบก็ยังพล่ามต่อไป

 

“นายมองฉันเหมือน”

 

“…”

 

“เหมือนกับขยะแขยง” โยซอบจำสายตาตอนนั้นได้ที่เขากำลังเล่นกับเพื่อนๆในสาขาเกี่ยวกับเพลงเซ็กซี่เพราะความสนุกเกินเหตุจนอะไรหลายๆอย่างมันเลยเถิดที่ห้องดนตรีนั้น บังเอิญกับที่กีกวังกำลังเดินผ่านจากการไปซ้อมกีฬามาพอดี สายตาที่บังเอิญสบกับเขา

 

สายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ขยะแขยง จนโยซอบเองก็หมดอารมณ์แล้วหนีกลับบ้านทันที

 

แม้เขาจะแปลกใจกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมยังเอาสายตาคู่นั้นเก็บมาคิด

 

“ฉันขอโทษแล้วกัน” นิ้วชี้ของเจ้าของรถทาบลงบนริมฝีปากอิ่มเป็นเชิงให้เงียบ

 

“แต่ช่างมันเถอะ” เพียงเท่านั้นบทสนทนาก็ไม่มีการต่อใดๆอีกจนกระทั่งถึงคอนโดของโยซอบ

 

 

“ยังโยซอบ”

 

“โยซอบ” เสียงที่ค่อยๆแทรกเข้ามาในโซนประสาทของเจ้าของชื่อ โยซอบค่อยๆลืมตาก่อนจะพบหน้าของกีกวังที่กำลังเรียกเขาอยู่

 

“ถึงคอนโดนายแล้วนะ” โยซอบพยักหน้าเชิงรับรู้ก่อนจะเดินไปทางประตูคอนโดทันทีจนลืมไปว่าคีย์การ์ดอยู่ที่กีกวังเอง

 

“ห้องอะไรชั้นอะไรเดี๋ยวไปส่งละกัน”

 

 

“เรียบร้อย” แทบจะเรียกว่าทุ่มอีกคนลงโซฟาแล้วเมื่อกีกวังสามารถพาคนเมาให้มาถึงเตียงได้ น้ำหนักที่แทบจะพอกันแถมอีกคนไม่คิดจะช่วยเขาลงแม้แต่น้อยเทน้ำหนักมาที่เขาฝ่ายเดียว ก็เหมือนเขากำลังแบกกระสอบน้ำหนัก50กว่าๆกิโลคนเดียวขึ้นมา

 

“ไปละนะ” กีกวังเอ่ยกับคนบนเตียงเหมือนจะสลบไปแล้วก่อนจะตัดสินใจกลับบ้านบ้าง พรุ่งนี้คงลาคาบเช้าอีกแน่ๆแบบนี้

 

หมับ

 

ไม่รู้ว่าอีกคนเอาแรงมาจากไหนมือของคนที่นอนอยู่คว้าที่ข้อมือกีกวังแล้วลากให้มานอนด้วยกันในสภาพที่ค่อนข้างล่อแหลมสำหรับกีกวังเอง เมื่ออีกคนกำลังเท้าแขนคร่อมเขาอยู่พลางหายใจรดเขา

 

กลิ่นแอลกอฮอล์จากอีกคนทำให้คนที่คออ่อนมึนได้ง่ายๆ กะจะถีบอีกคนให้ตกเตียงไปแต่ขาของโยซอบกำลังทาบลงจนขยับตัวแทบไม่ได้

 

“จูบกับนายแล้วจะเป็นยังไงกัน” ไม่ว่าเปล่าปากบางทาบลงปากอิ่มของกีกวังโดยทันทีเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ลิ้นของคนที่คร่อมอยู่สอดเข้าไปในโพรงปากของอีกคนได้โดยง่าย

 

ไม่เคยรู้ว่ายังโยซอบดื่มเก่งขนาดนี้

 

ไม่เคยรู้ว่ากีกวังจะเมาง่าย

 

ไม่เคยคิดว่าโยซอบจะจูบเก่งจนกีกวังเผลอไปกับสัมผัสนั้น

 

และไม่เคยคิดว่าคืนนั้นมันจะไปได้ไกลขนาดไหน

 

 

ปวดหัว อย่างแรกที่เขารู้สึกทันทีที่ตื่นขึ้นมาราวกับว่าทุกอย่างมันหมุนจนลุกแทบไม่ไหวแต่ถึงอย่างนั้นเสียงโทรศัพท์ที่แผดอยู่ทำให้เขาต้องคว้ามันมารับสาย

 

“ว่า”

 

/หืม? ยังนอนอยู่หรอ/ เสียงเพื่อนที่ทำให้เขาได้สติมาเล็กน้อยก่อนจะมองนาฬิกาบนหัวเตียงเล็กน้อย

 

08:45 น.

 

วันนี้เขามีเรียนเก้าโมงครึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มคาบทำให้โยซอบตื่นได้โดยทันที แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรเพื่อนเขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

 

/วันนี้งดนะ เจอกันบ่ายเลย/

 

“อื้มขอบใจนะ” แล้วก็วางสายไปพลางมองสภาพห้องรอบๆตัวที่ดูเละเกินกว่าจะบอกได้ว่าเขานอนคนเดียว แต่ไม่พบร่องรอยใครแล้วนอกจากเขาหรือแม้แต่อาการปวดสะโพกหรือรอยต่างๆ

 

หรือว่าเดี๋ยวนี้เขาจะเป็นคนนอนดิ้นกันนะ

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้มันไม่ใช่ของเขาเพราะเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือไม่แม้แต่จะสั่นเลย จนเขาลองงมดูตามด้านล่างเตียงเพื่อหาของ

 

“ฮัลโหล”

 

/คุณกีกวังครับ มึงจะโดดใช่มั้ยเนี่ยห้ะ/

 

กีกวัง? โยซอบเอาโทรศัพท์ห่างออกจากหูเล็กน้อยก่อนที่เครื่องจะปรากฏชื่อของคนที่โทรเข้ามายุนดูจุน เพื่อนสนิทของกีกวัง

 

แล้วโทรศัพท์ของกีกวังมาอยู่ที่นี่ได้ไง ความทรงจำของเมื่อคืนค่อยๆย้อนเข้าหัวเล็กๆของเขาราวกับหนัง

 

/ฮัลโหลๆ มึง?/ โยซอบกดวางทันทีแล้วพาตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย วันนี้เขาต้องได้เคลียร์กับกีกวังให้เรียบร้อย

 

 

“กีกวังอยู่มั้ย” แปลกใจ เรียกว่าโคตรแปลกสำหรับทุกคนเมื่อคนดังของสาขาร้องเพลงกำลังถามหาคนดังสาขาการแสดงที่ได้ข่าวว่าไม่ถูกกันแต่วันนี้กลับมาถามหากันซะดื้อๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครตอบได้จนโยซอบต้องถ่อตัวเองมาจนถึงห้องเปลี่ยนเสื้อนักกีฬามาหาดูจุน

 

“วันนี้มันคงไม่มาแหละมั้ง” ดูจุนตอบไปตามที่เขาคิดได้เพราะตั้งแต่เช้าก็ติดต่อไม่ได้เลยแถมยังโดดซ้อมแบบไม่บอกไม่กล่าวกันแบบนี้อีก ดูจุนเองก็กะว่าจะไปหาหลังเลิกซ้อมแล้ว

 

“บ้านกีกวังอยู่ไหน”

 

“ห้ะ?”

 

“ฉันลืมของไว้ที่เขา”

 

 

ปวดตัวจนแทบจะตาย

 

นั่นคือสิ่งที่กีกวังคิดได้อย่างเดียว เมื่อคืนเขาแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างจนนึกว่าฝันไปก็จนถึงตอนเช้ามืดที่เขาตื่นมาพร้อมกับโยซอบที่กอดเขาอยู่ อาการปวดสะโพกและรอยต่างๆตั้งแต่คอเขาจนถึงต้นขาบอกได้อย่างดีว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ฝัน

 

กีกวังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับโยซอบเลยแอบหนีกลับมาก่อนที่อีกคนจะตื่น

 

เอามาทุกอย่างยกเว้นโทรศัพท์

 

คิดแล้วก็อยากจะทึ้งหัวตัวเอง หวังว่าดูจุนเพื่อนรักจะไม่กินหัวเขาซะก่อนที่เขาโดดซ้อมนะ ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่มีแรงไปอยู่ดี

 

พูดแล้วก็เหมือนไข้จะขึ้นแล้วด้วย

 

“ซวยชิบหาย” บ่นแค่นั้นก่อนเสียงออดหน้าห้องจะดังขึ้น ดูจุนแน่ๆว่าแล้วก็ทำตัวให้ดูน่าสงสารไว้มันจะได้ไม่ตบกบาลเขาซะก่อน

 

“ดูจุนจ๋า คือกีกวัง- เห้ย”

 

ปัง

 

ยังโยซอบ

 

ไม่ใช่ดูจุนแต่เป็นโยซอบที่ยืนอยู่หน้าห้องเขา กีกวังลองกดจออินเตอร์คอมดูอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ตาฝาดเช่นเดียวกันโยซอบที่กำลังมองผ่านทางกล้องแล้วชูโทรศัพท์ในมือให้ดู

 

โอเคยังไงก็ต้องเปิดสินะ

 

“ไง” กีกวังทำแค่แง้มให้อีกคนเท่านั้นแต่เหมือนว่าโยซอบจะไม่พอใจถึงได้ดันประตูแล้วแทรกตัวเองเข้ามาจนได้

 

“ไง” กีกวังที่ยังคงอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่เมื่อคืนเพราะเจ้าตัวไม่มีแม้แต่แรงลุกไปไหนได้เลยนอนแหมะมันแอยู่ที่เตียงนั่นแหละ พอยิ่งเห็นว่าอีกคนเอาแต่จ้องสภาพเขากีกวังก็อายเกินกว่าจะทำอะไรได้เลยรีบคว้าโทรศัพท์มาแล้วลากอีกคนออกไป

 

“ขอบใจนะ ทีนี้นายก็กลับได้แล้-” แล้วอยู่ๆก็เหมือนว่าโลกหมุนแล้วค่อยๆมืดไปจนเขาจำอะไรไม่ได้หลังจากนี้

 

 

หอม

 

เหมือนกับโจ๊ก

 

ท้องแทบจะร้องเมื่อรู้ว่าเป็นกลิ่นอะไรอีกอย่างทั้งวันเขายังไม่ได้เอาอะไรลงท้องเลยก็มีความหิวเป็นธรรมดาติดตรงที่เขาขยับตัวแทบไม่ได้ ลืมตายังลำบากเลย

 

“ท้องร้องก่อนจะลืมตาอีกรึไง” เสียงใสที่คุ้นเคย คุ้นเคยงั้นหรอ

 

ตาใสค่อยๆกระพริบถี่ๆให้ชินกับแสงโคมไฟก่อนจะมองหน้าคนที่อยู่ข้างเตียงเขา ไม่ทันได้ตกใจอีกรอบหรือเพราะไม่มีแรงให้ตกใจกีกวังเลยทำเพียงแค่ทำเสียงอื้ออ้าในลำคอเท่านั้น

 

โยซอบค่อยๆช่วยให้อีกคนอยู่ในท่านั่งเพื่อที่จะได้ป้อนได้ถูก หลังจากที่อยู่ๆอีกคนก็เป็นลมหมดสติไปต่อหน้าก็ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกซักพักก่อนจะแบกอีกคนมาไว้บนเตียงพร้อมกับเช็ดตัวแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เขาก็เพิ่งรู้ว่ารอยบนตัวที่เขาทำไว้มันเยอะขนาดไหน

 

ลองโทรถามเพื่อนหมอที่รู้จักว่าควรทำยังไงได้ไม่ต้องถึงกับไปโรงพยาลบาลกัน

 

ตื่นมาก็สองทุ่มแล้ว

 

“อ่ะ”

 

“ห้ะ?” เมื่อก่อนที่จะได้กินอะไรสมใจโยซอบก็ยื่นโทรศัพท์มาให้คนป่วยก่อน ก่อนจะอธิบายว่าให้กีกวังโทรไปบอกดูจุน

 

“นายจะบอกว่าอยู่กับฉันก็ได้ถ้าอยากจะอธิบายต่อ” โยซอบพูดทิ้งท้ายให้กีกวังต้องกลอกตาเล่นๆระหว่างรอให้ดูจุนรับสาย

 

/เอ้ยมึงเป็นไงบ้างวะ/ น้ำเสียงเป็นห่วงทำให้กีกวังรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องโกหกอีกคน

 

“มึงคือกูไม่สบาย”

 

/ให้กูไปหามั้ย/

 

“ไม่ต้อง!” แทบจะทันทีจนปลายสายทำเสียงจิ๊จ๊ะว่าเขามีความลับปิดบังแล้วจะมาบุกบ้านเขาจนกีกวังต้องอธิบายว่าแค่ไข้เล็กน้อยตอนนี้ดีขึ้นแล้วขอพักผ่อนพรุ่งนี้คงหายดี

 

/เออๆ พรุ่งนี้ไม่ไหวไม่ต้องมานะมึง/

 

“ครับพ่อ”

 

/สัส แค่นี้/

 

“ฉันใส่เสื้อผ้าของนายได้ใช่มั้ย” โยซอบถามเมื่อคิดว่าวันนี้เขาคงไม่ได้กลับแน่ๆ ดีที่ขนาดตัวของพวกเขาแทบจะเท่ากันถึงได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า เมื่อเจ้าของห้องอนุญาตเขาเรียบร้อย

 

 

ผ่านมาเกือบเดือนหลังจากวันนั้นชีวิตของกีกวังก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก นอกจากการที่ทุกเช้าที่กีกวังมีเรียนตรงกับโยซอบก็จะมีรถมารับ วันไหนที่ไม่มีซ้อมเขาก็จะไปนั่งเล่นแถวๆสาขาดนตรีเพื่อรอโยซอบเลิกซ้อม วันหยุดสุดสัปดาห์โยซอบมักจะมานอนบ้านเขาแล้วตอนเช้าไปวิ่งรอบสวนสาธารณะด้วยกัน

 

ก็แค่นั้น

 

เรื่องราวที่แทบไม่มีใครรู้ จะบอกว่ารู้กันแค่สองคนก็ยังได้

 

“นี่” กีกวังเรียกอีกคนที่กำลังมองเขาเล่นเกมอยู่ด้วยการเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆกัน

 

“อืม”

 

“เป็นแฟนกันมั้ย”

 

“เอาสิ”

 

“งั้นเป็นแฟนกันแล้วนะ”

 

“อื้ม” ในเมื่อความรู้สึกและการกระทำทุกอย่างมันชัดเจนในตัวโยซอบก็คร้านที่จะต้องมาลังเลกับความรู้สึกแล้วเหมือนกัน

 

“รอบหน้าขอนะ”

 

“ไม่ได้เป่ายิ้งฉุบเหมือนเดิม” กีกวังได้แต่กลอกตาเล็กน้อย ก็รู้อยู่ว่าเขามันห่วยเรื่องนี้

 

THE END

 

 

 

(fic) junkwang – 위험해

Title: 위험해

Pairing: JunKwang (Junhyung & Gikwang)

Rate: nc-15

Author: red.bunny

NOTE : ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ เดี๋ยวจะตามมาอีดิทอีกรอบ // ไม่รู้จะให้เรทยังไงดีเพราะมันเรทแค่ช่วงแรกเอ้งงงง นอกนั้นใสๆค่ะ

NOTE(2) : แก้คำผิดน่าจะเรียบร้อยแล้วค่ะ55555 / ความจริงคือเราอยากแต่งฟิคของเพลงนี้นานมากแล้วแต่เพิ่งได้มีอารมณ์ในการแต่ง เรื่องหน้าถ้าโฮซูไม่ตายเจอกันกับจุนฮยอกxโฮซู ค่ะ

———————————————————————————————————————-

 

ร่างของสองคนกำลังขยับร่างกายตามจังหวะที่ควรจะเป็น เสียงหอบหายใจที่บ่งบอกบอกถึงความต้องการดังขึ้นข้างหูของเขา สะโพกสอบกระแทกถี่ขึ้นส่งผลให้ปากอิ่มที่คลอเคลียอยู่ข้างหูเขาครางเสียงออกมา ก่อนที่เขาจะได้ปลดปล่อยพลางถอนออกจากตัวอีกแล้วดึงคอนด้อมของตัวเองอีก

 

“ร้อนชะมัด” เสียงอีกคนบ่นพึมพำทันทีที่เสร็จภารกิจเครื่องปรับอากาศในห้องยังคงทำงานเต็มประสิทธิภาพของมันแต่คงเป็นกิจกรรมที่พวกเขามากกว่าทำให้ต้องการความเย็นมากกว่านี้

 

“เดี๋ยวก็หายร้อนแล้ว” ริมฝีปากเขายังไม่เลิกที่จะคลอเคลียอยู่ตามซอกคอขาวของอีกคนแม้ว่าเขาจะอยากทำรอยมากแค่ไหนแต่อีกคนก็ห้ามเขาไว้อยู่

 

‘ที่ไหนก็ได้ยกเว้นคอ’

 

เพราะงั้นตั้งแต่หน้าอก หน้าท้อง หลังสวยไปจนถึงต้นขาของอีกคนก็เต็มไปด้วยรอยที่เขาทำไว้ ไม่ได้ต้องการจะแสดงความเป็นเจ้าของแต่เขาเพียงอยากจะบอกว่าเจ้าตัวถูกใจเขามากขนาดไหน

 

“พรุ่งนี้จะมามั้ย” คนที่หันหลังให้ตอบเสียงอืออึงในลำคอจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกคนตัดสินใจแบบไหน นาฬิกาในโทรศัพท์เขาบอกเวลาตีสามแล้วเขาก็ควรนอนบ้าง

 

แต่เมื่อนาฬิกาหมุนมาที่สิบโมงเช้าของอีกวันเขาก็ไม่พบอีกคนอยู่ในห้องแล้วพอเขาไปเช็ตเอ้าท์ออกโรงแรมก็พบว่าอีกคนออกไปตั้งแต่แปดโมงเช้าแล้ว

 

 

“ไงครับเมื่อวาน” สองทุ่มกว่าที่เดิมกับเมื่อวานเมื่อเขาเดินมาหาเพื่อนในกลุ่ม เขาทำเพียงแค่ยกนิ้วให้ว่าดีจริงก่อนจะสั่งเครื่องดื่มของตัวเอง

 

“แล้วชื่อไรวะ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก็จะทำหน้าครุ่นคิดซักพัก

 

“ไม่รู้วะ ไม่ได้ถาม”

 

“เชี่ยแสดงว่าเมื่อวานหนักจริง” เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย กว่าที่จะสร่างเมาก็ตอนที่เสร็จแล้วจะมาถามไถ่ชื่ออีกคนก็คงไม่มีแรงตอบเขาแน่ๆ ตอนเช้าก็ตื่นไม่ทันอีกคนอีก

 

“พรุ่งนี้มีนัดหรอวะกินเบาเชียว” เพื่อนของเขาถามเมื่อเห็นว่าเขาสั่งเครื่องดื่มที่ค่อนข้างเบามาดื่ม

 

“พรุ่งนี้มีนัดถ่าย” ยง จุนฮยอง เจ้าของเสื้อผ้าแนวสตรีทที่ขายในเว็บไซต์และโซเชี่ยลมีเดียร่วมกับเพื่อนของเขาอย่างยัง โยซอบที่บังเอิญไปสนิทกันตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ที่จริงพวกเขาทำขายตามงานต่างๆมานานแล้วพอได้กลับมาบ้านเกิดเลยตัดสินใจทำให้ให้เป็นแบรนด์ไป พร้อมกับออกคอลเลคชั่นใหม่ ซึ่งจะถ่ายกันพรุ่งนี้ที่บ้านของเขาเอง

 

‘จริงๆกูว่าไม่เอานางแบบก็นายแบบก็พอละ’ จุนฮยองพูดขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังหาลือเรื่องคนมาเป็นแบบเขาแค่คิดว่าการจ้างคนมาเยอะไม่ได้ช่วยอะไร ยังไงเสื้อผ้าของเขาก็เป็นยูนิเซ็กส์อยู่แล้ว

 

‘อยากได้คนที่มีเสน่ห์ได้ทั้งสองเพศอ่ะ’ แล้วอยู่ๆโยซอบก็บอกว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง เขาเลยมีหน้าที่ตรวจสอบสถานที่กับเสื้อผ้าที่ใช้เท่านั้น

 

“ไรมึง” เมื่ออยู่ๆเพื่อนเอาแต่สะกิดเขายิกๆจนเขาเริ่มรู้สึกว่าไหล่จะสึกแล้ว มือของอีกคนชี้ไปที่ฟลอร์เต้นกลางร้าน

 

ร่างกายที่ผ่านการเข้าฟิตเนสมาอย่างต่อเนื่องจนมีซิกแพคกลับดูบางลงเมื่ออีกคนใส่เสื้อเชิ้ตสีสว่างที่เจ้าตัวเลือกที่จะปลดกระดุมเม็ดแรกและเม็ดที่สอง พร้อมกับยีนส์สีดำที่ดูเข้ารูปขาทำให้เจ้าตัวดูผอมบาง

แม้ว่าจะมีหญิงสาวที่กำลังเต้นอยู่ด้านหน้าแต่สายตาของอีกคนกำลังจ้องมาที่เขาเป็นระยะ

 

ยั่วชิบหาย

 

สายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน ดูอันตรายแต่บางทีก็ดูไร้เดียงสาที่เจ้าตัวแอบมีแววตาของความกลัวเมื่อตอนที่อยู่กับเขาบนเตียง

 

“มาช้าจังวันนี้” กว่าที่อีกคนจะมาให้เขาเห็นก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาค่อยๆแทรกตัวเข้าไปหาก่อนจะพูดข้างหูให้ได้ยินเขาชัดๆ อีกคนเพียงแค่ยิ้มให้ก่อนจะหมุนตัวมาหาเขา แขนเขาเองก็ไม่ว่างเปล่าทำหน้าที่โอบเอวอีกคนไว้

 

“มาให้เห็นหน้าเฉยๆครับ” เจ้าตัวยิ้มตาหยีให้เขาก่อนจะหมุนตัวออกจากเกาะกุมแล้วหายไปตามฝูงชนที่เขาเองก็เลือกที่จะปล่อยไป แม้ในใจอยากจะตามแค่ไหนก็เถอะ

 

ตามไปแล้วจะพูดว่าอะไรดีเขายังคิดไม่ออก

 

 

 

/ว่าไงครับเพื่อนนนน/ เสียงใสของเพื่อนตัวเล็กเขาดังมาตามสายก่อนที่จุนฮยองจะถามว่าถึงไหนแล้ว เพราะตอนนี้เขาเองก็จัดฉากยังไม่เสร็จดี ก่อนจะพบว่าเพิ่งจะออกบ้านแต่โทรมาบอกก่อนเขาถึงฝากอีกคนให้ซื้อข้าวมาให้ด้วย

 

บ้านของจุนฮยองอยู่ชั้นบนสุดรวมไปถึงห้องที่ดาดฟ้าที่เขาใช้เป็นสตูดิโอถ่ายรูปหลังจากกลับมาเขาก็เลยขนทุกอย่างทั้งฉากถ่าย ห้องล้างมาไว้ที่นี่ทั้งหมด

 

“สัส ของกินกูละไหน” ทันทีที่โยซอบถึงห้องเขาก็โดนไอเจ้าของห้องมันเกรี้ยวกราดใส่ทันที หิวไรเบอร์นั้นวะ

 

“เออๆเพื่อนกูกำลังเอาขึ้นมา” โยซอบพูดก่อนจะขอตัวไปเตรียมของที่ดาดฟ้า ปล่อยให้จุนฮยองรอของกินไป

 

Ding dong

ออดหน้าบ้านทำให้จุนฮยองต้องเดินไปดูคงจะเป็นเพื่อนของโยซอบที่จะมาเป็นนายแบบวันนี้นั่นแหละ เจ้าตัวคงไม่รู้รหัสบ้านเขาไม่เหมือนกับโยซอบที่รู้แล้วกดเข้ามาไม่เกรงใจเจ้าของมันเลย

 

“ขอโทษนะครับที่เอามาให้ช้า”

 

 

“นี่กีกวัง เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กกู” โยซอบแนะนำชื่อของนายแบบที่พวกเขาจะถ่ายในวันนี้ แม้จะเพิ่งรู้จักชื่อกันแต่จุนฮยองได้รู้จักร่างกายของเจ้าของชื่อไปตั้งนานแล้ว

 

“อี กีกวังครับ”

 

“ยง จุนฮยองครับ”

 

เมื่อแฟชั่นแนวสตรีทกับความโรแมนติกต้องมาเจอกัน การพบกันครึ่งทางของเสื้อผ้าแนวสตรีทที่ไม่ดาร์กไม่เข้มเกินไป สอดแทรกความโรแมนซ์ที่ชวนให้ลองสวมใส่เพื่อไปเดทกับคนรักได้ทุกที่

 

“ไงสนุกปะ” โยซอบถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองออกมาจากห้องแต่งตัวหลังจากที่พวกเขาถ่ายทั้งหมดเสร็จแล้ว จากเวลาเที่ยงวัน ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้วเพราะพวกเขาอยากได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนเลยทำให้ลากยาวมาขนาดนี้

 

“ก็สนุกนะ เสื้อผ้าสวยดีอ่ะ”

 

“แน่ดิใครออกแบบละครับบ”

 

“เอากลับเลยก็ได้นะ” เสียงของจุนฮยองพูดขึ้น เป็นโยซอบเองที่ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยปกติแล้วจุนฮยองจะให้สินค้าแค่เพียงชิ้นเดียวแต่คราวนี้กลับยกให้หมดทั้งคอลเลคชั่นเนี่ยนะ เกิดเพี้ยนใจดีอะไรของมันละนั่น

 

“อื้ม ให้” เจ้าคนพูดก็ก้มๆเงยๆเก็บของก่อนที่โยซอบจะได้ถามต่อก็มีสายเข้า

 

 

“โทษทีนะมึง”

 

“ไม่เป็นไรกูกลับแท็กซี่ได้” เมื่ออยู่ๆแฟนของโยซอบก็ขอให้ไปหาแล้วดันเป็นคนละทางกับบ้านของกีกวังเลยไปส่งเพื่อนรักกลับบ้านไม่ได้

 

“อย่าทำหน้างั้นดิ” กีกวังพูดพลางอมยิ้มเมื่ออีกคนทำหน้าหงอยรู้สึกผิดที่ออกจะเหมือนทิ้งเขากลายๆ ไอเขาเองก็ไม่ใช่เด็กสามขวบที่กลับบ้านเองไม่ได้แล้ว

 

“จุนฮยอง ฝากเพื่อนกูด้วย” โยซอบตะโกนเรียกเจ้าของห้องที่ยังคงเก็บอุปกรณ์อยู่ ก่อนจะฝากฝังกีกวังไว้กับอีกคน

 

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งเมื่อเพื่อนของเขากลับไปเหลือเพียงแค่กีกวังที่ยังนั่งอยู่ตรงโซฟามองอีกคนเก็บของพลางดื่มโกโก้ในมือไป

 

“บังเอิญจังนะครับ” กีกวังพูดขึ้นทำลายความเงียบ จุนฮยองละสายตามามองอีกคนที่นั่งขัดสมาธิบนโซฟาเขา

 

เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ทับไว้ด้วยคาร์ดิแกนโอเวอร์ไซต์สีเหลือง กับกางเกงยีนส์สีซีดขาด ทำให้เจ้าตัวดูต่างจากคืนก่อนๆที่เขาเจอ

 

ดูไร้เดียงสา

 

แต่ก็ดูอันตราย

 

จุนฮยองเดินเข้ามาให้อีกคนก่อนจะเท้าแขนคร่อมอีกคนไว้ เขากำลังจ้องตาใสที่มองเขาด้วยความสงสัย

 

“พรุ่งนี้มีงานมั้ยครับ” แม้เจ้าตัวจะสงสัยกับคำถามอยู่บ้างแต่ก็ส่ายหัวให้เป็นคำตอบ

 

“งั้นคืนนี้ผมคงให้คุณกลับบ้านไม่ได้แล้วละ”

 

“มันอันตราย”

 

 

 

 

“เหยดดดนายแบบมึง กีกวังเลยหรอวะ” พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวันสุดสัปดาห์หลังจากที่คอลเลคชั่นของเขาปล่อยเพื่อนเขาต่างก็มีปฏิกิริยากับนายแบบ‘ของเขา’พอสมควร

 

“ทำไมวะ”

 

“มึงไม่รู้หรอกีกวังหน่ะ” กีกวังหน่ะเรียกว่าเป็นเน็ตไอดอลก็ว่าได้ ดูจากยอดฟอลโลว์เวอร์ในโซเชี่ยลมีเดียของเจ้าตัว ที่มาจากหน้าตาและความเข้าถึงง่ายของกีกวังเอง เพราะด้วยความที่เจ้าตัวสามารถให้ลุคได้เกือบทุกแบบเลยไม่แปลกที่จะได้เป็นนายแบบให้เสื้อผ้าแบรนด์สตรีทหลายแบรนด์

 

แต่ตอนนี้คงไม่ได้แล้วละ

 

“มาถึงนานรึยังครับ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นทำให้เขาต้องเหลียวไปมอง ก่อนจะพบคนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนากับเพื่อนเจ้าตัว

 

“มานั่งสิ” พูดเสร็จเขาก็ขยับตัวให้ ทุกสายตาทุกโต๊ะกำลังจ้องมองคนที่มาใหม่ และก็ทำให้อ้าปากค้างไปอีกเมื่อคนที่เพิ่งมาถึงไม่ได้นั่งลงข้างๆจุนฮยองแต่เลือกที่จะวางตัวเองลงบนตักของจุนฮยอง

 

“สวัสดีครับ อีกีกวังครับ”

 

 

 

“เออแล้ววันนั้นอ่ะคนที่นอนกับมึง?”

 

“ก็…”

 

“มึงอย่าบอกนะว่าเป็นกีกวัง”

 

“เออ พวกมึงไม่เห็นหน้ารึไง”

 

“สัสมืดขนาดนี้พวกกูเห็นก็บ้าแล้วไอฟรัค”

 

 

 

“น่ากลัว” โยซอบพูดขึ้นในขณะที่เขากำลังมานั่งเล่นอยู่บ้านของกีกวัง เจ้าคนที่โดนกล่าวหาว่าน่ากลัวละจากโทรศัพท์ที่กำลังตอบข้อความ มาเลิกคิ้วเล็กน้อย

 

“อยากได้อะไรก็ต้องได้เลยสินะ” กีกวังยักไหล่ให้กับคำพูดของโยซอบก่อนจะแก้ตัวให้กับตัวเองบ้าง

 

“ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรก็ได้ซักหน่อย”

 

“แต่อยากได้จุนฮยองก็ต้องได้จุนฮยองสิ^_^”

 

THE END

 

(fic) dukwang – Calling You

Title: Calling You

Pairing: DuKwang (Dujun & Gikwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

 


 

ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ จะหลับหรือยังนะ

คุณต้องการผมไหม หรือว่าคุณลืมผมไปหมดทุกอย่างแล้ว

 

 

 

“งั้นไปแล้วนะ” เพื่อนเขาตะโกนบอกในขณะที่เขากำลังเดินเข้าตึกหอพักของตัวเอง เสียงโหวกเหวกโวยวายตามประสาของนักกีฬาทำให้คนแถวนั้นต้องหันมามองด้วยสายตาตำหนิ จนเขาต้องคอยขอโทษขอโพยแทนพวกมัน เมาแล้วเละจริงๆ

แต่ยังไงเขาก็ต้องขอบใจที่ยังอุตส่าห์มาส่งเขาถึงหอพักด้วยเหตุผลที่ว่าหอพักเขามันอยู่ไกลสุดแถมทางเปลี่ยว

 

‘เผื่อโดนฉุดไป ใครจะมาเป็นกองกลางกับกู๊ว’ เมคเซ้นสุด

 

ขาเรียวพาตัวเองขึ้นมาจนถึงชั้นสี่ของตึก คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เพิ่งจัดเต็มไปเริ่มออก เลยทำเอาเขามึนหัวแล้ว กว่าจะหากุญแจไขได้ก็ลำบากเล็กน้อย

 

ทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองพลางปิดตาลง ได้แต่บอกตัวเองว่าขอซักสิบนาทีแล้วเขาจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ ไม่งั้นกลากเกลื้อนหรืออะไรซักอย่างต้องถามหาเขาแน่ๆ

 

เลขนาฬิกาชี้เลข12 ค่อยเคลื่อนตัวไปจนถึงเลข1อย่างรวดเร็ว คนที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ได้รู้สึกตัวเลยซักนิดจนกระทั่งโทรศัพท์ดังเพราะมีสายเข้า

 

“ฮัลโหลครับ” ปลายสายเงียบไปซักพัก ได้ยินเพียงแค่เสียงดนตรีคลอมาเบาๆบ่งบอกว่าอีกคนอยู่ที่ไหนแต่ก็ยังไม่ยอมพูดอยู่ดี

 

“ฮัลโหลครับ??”

 

“ถ้าไม่ตอบผมวางนะ”

 

/เดี๋ยว/ เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้เขาตาตื่นได้โดยทันที ตากลมเสมองนาฬิกาเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าอีกคนยังไม่กลับบ้าน

 

แม้รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นแล้ว

 

“มีอะไรรึป่าวครับ”

 

/ไม่มีอะไรหรอก/

 

“ครับ?”

 

/พี่แค่คิดถึง/

 

อี กีกวังนักศึกษาชั้นปีที่ 3 นักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่กำลังไปซ้อมมาแล้วไปดื่มต่อทั้งหมดทั้งมวลยังไม่น่ามึนหัวเท่ากับประโยคที่ปลายสายเพิ่งพูดกับเขา อยากตัดสายให้มันจบๆไปแต่เขารู้

 

เขารู้ว่าในใจเขาก็ยังเรียกร้องอีกคนอยู่

 

“เมาหรอครับ” หลังจากรวบรวมสติได้ก็ยกหูมาคุยต่อ ตอนแรกนึกว่าอีกคนจะวางไปแล้วแต่ไม่ ปลายสายยังคงรอเขา

 

/มั้ง แต่ก็ไหวอยู่/

 

“ให้ผมเรียกแท็กซี่ให้มั้ยครับ”

 

/รู้หรอว่าพี่อยู่ไหน/ ประโยคที่ปลายสายเอ่ยออกมาทำเอาเขาเผลอเม้มปากตัวเอง ใช่ เขาลืมไปว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกคนแล้ว

 

กีกวังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยุน ดูจุนอีกแล้ว

 

“ขอตัวไปอาบน้ำนะครับ” เป็นกีกวังเองที่เสียมารยาทตัดสายไปก่อนแล้วเลือกที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป

 

เกือบๆสามเดือนแล้วที่กีกวังเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับยุน ดูจุนแฟนรุ่นพี่ของเขาที่พักหลังๆเหมือนกับอีกคนทุ่มเทกับงานมากจนละเลยเขา ทะเลาะกันบ่อยขึ้น พูดไม่รู้เรื่องกันบ่อย เวลาที่ไม่ค่อยจะมียิ่งหายไปเมื่อกีกวังเลือกเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ความไม่เข้าใจกันแต่เลือกที่จะไม่คุยมันเป็นปัญหาสะสมจนเหมือนปมเชือกที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนเป็นกีกวังเองที่ตัดสินใจตัดมันทิ้งซะ

 

หลังจากนั้นยุน ดูจุนก็หายไปจากชีวิตของอี กีกวังเลย

 

จนกระทั่งวันนี้

 

 

“โอย ปวดเอวชิบ” คงเพราะวันนี้ซ้อมเยอะเป็นพิเศษจนทำให้ร่างกายแสดงอาการออกมา เขาคว้ายาแก้ปวดมากินก่อนจะแผ่ตัวลงนอนบนที่นอน

 

20 miss call

 

สายที่ไม่ได้รับจากคนคนเดียวที่เขาเพิ่งวางสายไป มันเยอะจนเขาเผลอคิดเรื่องไม่ดีเอาซะได้

 

 

 

“จะพากลับบ้านมันก็ไม่ยอมบอกแต่ว่าจะไปหานายนี่แหละ” ร่างที่สูงกว่าเขาถูกส่งมาให้ดีที่เขาเป็นนักกีฬาไม่งั้นคงได้ล้มกองกันหน้าหอนี่แน่ๆ

 

“อ่า ขอบคุณมากนะครับ” กีกวังเอ่ยขอบคุณเพื่อนร่วมงานของคนที่เมาพับจนเขาต้องเอาแขนมาคล้องคอตัวเองไว้พลางโอบเอว

 

“ยังไงก็โทรมาหาฉันได้นะถ้ามันอาละวาด” กีกวังพยักหน้าหงึกหงักให้จนอีกคนขึ้นแท็กซี่ไปลับสายตาถึงเพิ่งคิดได้ว่าเขายังไม่มีเบอร์อีกคนแล้วถ้าอาละวาดจริงๆใครจะช่วยเขาละ

 

 

กีกวังเริ่มคิดว่าเขาควรจะอาบน้ำอีกรอบดีมั้ยหลังจากที่แบกคนที่ตัวโตกว่าทั้งส่วนสูงและอายุมาถึงชั้นสี่แล้วเล่นเอาเหงื่อโชก

สุดท้ายเขาก็หยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำทันที

 

สัมผัสเย็นๆตรงแก้มทำให้เขาสะดุ้งตัวได้ง่ายๆก่อนจะพยายามฝืนตาตัวเองขึ้นมามองว่าเพื่อนคนไหนมันกำลังเช็ดตัวให้เขา

 

“กีกวัง?” มือหนาจับมือของอีกคนไว้ก่อนที่อีกคนจะได้ชักมือกลับได้ มือนุ่มของอีกคนยังคงนุ่มอยู่แม้ว่าจะออกกำลังกายหนักขนาดไหน

 

“ปล่อยก่อนสิครับผมจะได้เช็ดตัวให้” เสียงของอีกคนดูห่างไกลเหลือเกินจนดูจุนเริ่มคิดแล้วว่าเขาคงฝันอยู่สินะ

 

“อ่า วันนี้ฝันดีจัง” แล้วภาพค่อยๆมืดลงไป

 

กีกวังได้แต่มองอีกคนที่ละเมอขึ้นมาด้วยหน้าเห่อร้อน เวลาที่จากกันไม่นานมากแต่เขากลับคิดถึงสัมผัสจากอีกคนขนาดนี้เลยหรอ

 

 

 

แสงแดดยามเช้าส่องลงตรงหัวเขาพอดิบพอดีราวกับว่ามีหน้าต่างอยู่ด้านบนหัวของเขาเอง ทำให้เขาต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวเพื่อหลบแสงแดด

 

หน้าต่างด้านบนหัวหรอ

 

ไวกว่าการประมวลผลดูจุนรีบลุกขึ้นพรวดเพื่อนสำรวจสภาพแวดล้อม จนคนที่กำลังจะเดินมาดูสะดุ้งไปด้วย

 

“กีกวัง?”

 

“ครับ”

 

“กีกวังจริงๆหรอ” กีกวังไม่รู้ว่าอีกคนต้องการคำตอบแบบไหนเลยได้แต่พยักหน้ายืนยันเท่านั้น

 

หมับ

แรงกอดที่อยู่ก็ปะทะเข้ามาทำเอากีกวังเกือบหงายถ้าไม่ใช่แขนของดูจุนที่ล็อคเอวเขาไว้ได้ทัน พร้อมกับกอดที่ทำเอาเขาแทบหายใจไม่เอา เขาค่อยๆกอดกลับก่อนจะลูบหลังอีกคนเล็กน้อยเพื่อบอกให้ผ่อนแรงลง

 

“พี่คิดถึง” ก่อนที่พื้นบ้านของกีกวังจะเริ่มหมุนอีกครั้ง

 

 

“ก็จะรีบลุกทำไมละครับ” อาการแฮงค์ยังไม่หายไปง่ายๆเมื่อดูจุนเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพอิดโรยก่อนจะมานั่งข้างๆกีกวังบนโซฟา

 

“นี่ครับ” เครื่องดื่มแก้แฮงค์ก่อนส่งมาให้ดูจุนเขาหยิบขึ้นมาก่อนจะกินพรวดให้หมด แล้วหลับตานิ่ง ความเงียบเริ่มเข้ามาเมื่อไม่มีใครเริ่มเอ่ยปากพูดในใจจริงๆแล้วกับอยากพูดจนไม่รู้จะเริ่มแบบไหนก่อน

 

“งั้นพี่กลับก่อนนะ” เขาไม่รู้ว่ากำลังคาดหวังคำไหนจากอีกคน กีกวังทำเพียงแค่พยักหน้าให้แล้วลุกขึ้นเพื่อเตรียมไปส่งอีกคนที่หน้าห้อง

 

“ขอบคุณมากนะ”

 

“ครับ” ประตูกำลังจะปิดไปพร้อมๆกับโอกาสของเขาเอง ก่อนที่มันจะได้ปิดสนิทมือของคนที่อยู่ด้านนอกก็รั้งไว้ได้ทันก่อนจะออกแรงเปิดให้กว้างขึ้น

 

“ร้องไห้ทำไม” น้ำใสที่กำลังคลออยู่ตรงหน่วยตาร่วงหลุดทันทีที่กีกวังกระพริบตา ดูจุนกำลังมองเพราะเขาไม่รู้ว่าควรทำยังไง เขากอดได้มั้ย เขาปลอบได้มั้ย

 

“ตลกหรอครับ”

 

“ห้ะ”

 

“มาบอกคิดถึง โทรมาหา มาหาแล้วกลับ”

 

“…”

 

“ตลกมากมั้ยครับ” กีกวังไม่เข้าใจ เขานึกว่าทุกการกระทำที่เกิดขึ้นคือการที่ต้องการกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่งั้นหรอ

 

คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าไม่ยอมมองหน้าเขา ไหล่เริ่มสั่นเพราะการกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ไปมากกว่านี้

 

แย่ชะมัดทำกีกวังร้องไห้อีกแล้ว

 

ดูจุนยอมรับว่าช่วงเวลาที่ทะเลาะกันเขามีความคิดที่อยากเลิกให้เรื่องทั้งหมดมันจบไป แต่เมื่อถึงเวลาจากกันจริงๆมันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลย พวกเขาแค่แก้ผิดจุด ไม่ใช่การเลิกกันแต่คือการคุยกัน

 

แต่เขาก็กลัว กลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม

 

ใจเขาอยากจะกลับไปคืนดีกับอีกคนขนาดไหนแต่เขาก็กลัวจะต้องจบ จะต้องทะเลาะกันอีก

 

ดูจุนค่อยๆช้อนคางอีกคนขึ้นมาให้สบตากัน ตาใสยิ่งใสวาวมากขึ้นเมื่อมีน้ำตา เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่อยู่บนแก้มให้หายไป กลับเป็นว่าอีกคนร้องไห้มากกว่าเดิม

 

“ไว้เดี๋ยวพี่โทรหานะ”

 

ผมหวังว่าคุณจะได้ยิน

ผมโอเค หากคุณจะบอกว่าตอนนี้หยุดเถอะ

ผมไม่เป็นไรหากคุณจะพูดอะไรสักอย่าง

 

“พี่ไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวมารับไปกินข้าว”

 

THE END

 

 

 


 

แอมคัมมิ่งแบคคคค

เกร้ดกร้าดค่ะ จริงๆในหัวมีเรื่องเยอะมากกว่าจะเริ่มเขียนได้จริงๆ เห้ออออ

(fic) junkwang – my BF

Title: my BF

Pairing: JunKwang (Junhyung x Gikwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : ไปดูหนังสั้นเรื่อง “เพื่อนกัน จิ๊บๆว่ะ” มาค่ะ ก่อกำเนิดฟิคเรื่องนี้ บอกก่อนว่าชั่ววูบของจริงปั่นสดๆพร้อมดื่ม เอ้ยยยยยย ขออภัยในชื่อฟิคด้วย เราไม่เก่งเรื่องนี้จริงๆTT


คำว่าเพื่อนสนิท อยู่ใกล้ตัวที่สุดแต่กลับไกลหัวใจมากที่สุดเช่นกัน

ถามเขาว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่เขาจำไม่ได้แล้ว อาจจะเป็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้วด้วยซ้ำละมั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ปี1

ช่วงเวลาแห่งการรับน้องก่อนจะเปิดเทอมทำให้มหาวิทยาลัยมีความคึกคักเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าต้องเป็นการรับน้องอย่างสร้างสรรค์ไม่รุนแรง คณะของเขาเองก็เช่นกัน

“เฮ้ยมึงอ่ะลุกสิ” คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวาก่อนจะพบว่าเพื่อนทั้งสองด้านเขาพยักหน้าเป็นการคอนเฟิร์มว่าเป็นเขานั่นแหละ จำใจต้องลุกไปด้านหน้าให้โดนพี่แกล้งพอเป็นพิธี ดูเหมือนจะเตรียมกันแล้วว่าจะแกล้งอะไรเขา

“ชื่ออะไรมึงแนะนำตัวสิ”

“อี กีกวังเมเจอร์เคมีครับ” คณะวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นคณะที่คนเยอะลำดับต้นๆของมหาวิทยาลัยเลยไม่แปลกที่ลานกลางจะคึกคักแถมยังเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาอีก

“มึงเลือกไร” ซองสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้าระหว่างสีดำกับสีขาว เอาความจริงกีกวังไม่อยากเลือกทั้งคู่นั่นแหละมีความรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ยังไม่ได้ถือด้วยซ้ำ

แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกสีขาวให้พี่แทน

“กิจกรรมสัมพันธ์ระหว่างคณะ”

“โอเค โชคดีนะมึง” ถามว่ากิจกรรมสัมพันธ์คืออะไร คือส่งตัวแทนจากคณะหนึ่งไปจับคู่กับอีกคณะให้ทั้งสองคนรู้จักกันให้มากที่สุดภายใน1เดือน อี กีกวังเลยได้เพื่อนในจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาภาพถ่ายมาคนหนึ่ง

“เออ สวัสดี” ทำตัวไม่ถูกกีกวังหันไปทักคนที่เอาแต่สนใจกล้องมากกว่าเขา ก่อนจะลองส่งกระแสจิตไปให้อีกคนได้รับรู้

แชะ!

“เฮ้ย”

“หน้าตอนเหวอน่ารักดีเนอะ” อยู่ๆอีกคนก็หันกล้องมาถ่ายคนข้างๆไปเป็นรูปแรกของความจำกล้องของเขา ก่อนจะยื่นมือมาตรงข้างหน้าพร้อมกับแนะนำตัวเอง

“ยง จุนฮยองยินดีที่ได้รู้จัก”

จากที่โดนจับคู่กันเพราะการบังคับหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กลายเป็นเพื่อนกันโดยไม่รู้ตัว แถมยังรวมไปถึงเพื่อนในกลุ่มที่ต่างสนิทกันไปด้วยโดยไม่รู้ตัว

ภายใต้คำว่าเพื่อนความสนิทที่มากขึ้นมันทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่ได้ตั้งใจแม้แต่น้อยที่จะให้เกิดขึ้น เขากลัวว่าซักวันความรู้สึกนี้มันจะหลุดออกไป

แล้วกีกวังจะเสียจุนฮยองไปพร้อมกับความรู้สึกนั้น

“ไม่เหนื่อยหรอ” เสียงทุ้มถามคนตรงหน้าที่วิ่งมาหาเขาหลังจากที่เตะเจ้าลูกกลมๆไปแล้วกว่ายี่สิบนาที ไม่พูดเปล่ามือเขายังยื่นน้ำเกลือแร่ให้อีกคนด้วย กีกวังพงกหัวขอบคุณก่อนจะรีบเปิดออกมาดื่มทันที

“เหนื่อยแต่สนุกอ่ะ” จุนฮยองเบะปากให้กับคำตอบก่อนจะหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาถ่ายเรื่อยเปื่อยต่อไป ปล่อยให้เป็นกีกวังที่นั่งมองอีกคนถ่ายรูปแทน

จะว่าไปกีกวังกับจุนฮยองแทบไม่มีอะไรเหมือนกันด้วยซ้ำ

จุนฮยองไม่ชอบออกกำลังกายแต่กีกวังชอบฟุตบอล

กีกวังไม่ชอบการอยู่เฉยๆแต่จุนฮยองชอบความเงียบเพื่อที่เขาจะได้ถ่ายรูป

จุนฮยองไม่ชอบวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับกีกวังที่ไม่เข้าใจศิลปะเลยแม้แต่น้อย

แล้วไงใครกำหนดว่าคนชอบไม่เหมือนกันจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้

“โอยยย พวกมึงสวีตกันอีกแล้วว” เสียงโหวกเหวกของยัง โยซอบที่เดินมาพร้อมกับยุน ดูจุนเพื่อนอีกสองคนในกลุ่มของพวกเขา กีกวังหันไปแยกเขี้ยวให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินเข้าสนามไปเตะตูดอีกที เหมือนทั้งสองมาเรียกให้เข้าสนาม

“กีกวัง!” เสียงของดูจุนที่ดังลั่นสนามทำให้จุนฮยองที่กำลังมองรูปในกล้องต้องหันควับกลับมาที่สนามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นว่ามีกลุ่มคนที่เล่นฟุตบอลเมื่อกี้กำลังมุงใครบางคนอยู่

ให้ตาย คลาดสายตาแค่สิบนาทีเองนะเว้ย

ขายาวก้าวฉับๆเข้าไปในสนามทันทีแหวกกลุ่มคนเข้าไปถึงตัวคนที่นอนกุมข้อเท้าอยู่จนได้ ก่อนจะหันไปขอคำตอบจากดูจุนและโยซอบที่ทำหน้าห่วงไม่แพ้กัน

“มันวิ่งไปสกัดบอลเพราะกลัวว่าจะหลุดสนามไปทางถนน สงสัยวิ่งเร็วไปข้อเลยพับ” ดูจุนเป็นตอบแทน จุนฮยองพยักหน้าให้กับคำตอบแล้วหันมาพูดกับคนเจ็บ

“อดทนหน่อยนะ” คนตัวเล็กกว่ากัดฟันพยักหน้าให้ พลางสูดลมหายใจเพื่อคลายความเจ็บของตัวเองแต่มันดูยากเหลือเกิน

จุนฮยองค่อยๆช้อนตัวคนที่เหงื่อท่วมตัวทั้งจากการวิ่งและอาการเจ็บป่วยไปออกจากสนามทันที พลางฝากให้เพื่อนอีกทั้งสองคนเก็บของตามไปด้วย ส่วนเขาเองต้องรีบพาอีกคนไปตรวจในคลีนิกในมอให้เร็วที่สุด

“เอ็นฉีกหน่ะ งดกีฬาสามอาทิตย์เดี๋ยวรอรับยาด้วยนะ” กีกวังและจุนฮยองโค้งขอบคุณคุณหมอก่อนที่จุนฮยองจะพยุงคนที่มีเฝือกตรงข้อเท้าให้ออกมาจากห้องเพื่อมารอรับยา

“อ้าวพวกมึง” ฮยอนซึงนักศีกษาคณะเภสัชที่มาทำงานพิเศษอยู่ที่คลินิกในมหาวิทยาลัยทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองที่ควรจะอยู่แถมสนามบอลมากกว่าดันมาอยู่ที่นี่แทน ก่อนจะชี้ที่ข้อเท้าของกีกวังเป็นคำถาม

“วิ่งโง่ เอ็นฉีก” จุนฮยองตอบแทนปล่อยให้กีกวังอ้าปากพะงาบเพราะพูดไม่ทัน ฮยอนซึงพยักหน้าเข้าใจก่อนจะนั่งลงข้างๆกับกีกวัง ขยี้ผมที่ยังเปียกชื้นเล็กน้อยจากเหงื่อของกีกวัง

“ดูแลตัวเองหน่อยมึงมีคนเป็นห่วงนะเว้ย”

“ใครวะ” กีกวังทำหน้าสงสัยในขณะที่ฮยอนซึงทำหน้าเหรอหรอเหมือนเผลอพูดอะไรไป กีกวังขมวดคิ้วพลางเรียกสติอีกคนอีกรอบ

“ฮยอนซึง”

“เอออ ก็กูไงแหม่เพื่อนกูเจ็บกูเลยเจ็บด้วยเลยเนี่ย”

“แล้วไป” กีกวังพูดพลางนั่งกดมือถือของจุนฮยองเล่นเกมต่อไป เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆให้ตัวเอง

“เป็นไรมึง เกมไม่สนุกหรอวะ” จุนฮยองถามคนที่ทำหน้าหงอยแถมยังถอนหายใจใส่โทรศัพท์เขาอีก เป็นอะไรของมัน

“ไม่ สนุกแต่กูหิวข้าวเนี่ย” ไม่รู้ว่าเพื่อนโยซอบกับเพื่อนดูจุนมันหาคลินิกไม่เจอหรือหนีไปแดกกันก่อน ผ่านไปอีกห้านาทีเจ้าเพื่อนสองคนนั้นก็มาพอดี

“ไม่เป็นไรกูเดินได้” กีกวังบอกจุนฮยองที่กำลังเสนอว่าให้กีกวังขี่หลังเขา แต่มันเกรงใจนี่หว่าตั้งแต่ให้อุ้มมาส่งที่คลินิกละ อายชิบหาย

ความจริงกีกวังกลัวจุนฮยองได้ยินเสียงหัวใจของเขาต่างหากละ

“ไม่ดื้อดิวะ”

“ก็กูไม่อยากขี่หลังมึง”

“โอยพวกมึงเลิกเถียงกัน มึงมาเดินกับกู”ฮยอนซึงที่เริ่มรำคาญสองคนนี้มันง้องแง้งกันอีกแล้ว เลยชี้ไปที่จุนฮยองให้มาเดินกับเขาแทนพลางสั่งต่อทันที

“ส่วนมึง ดูจุนมึงเอามันขี่หลัง” หลังจากสั่งเสร็จมีหรือพวกเขาจะไม่ทำตาม พวกเขายังไม่อยากโดนฝ่าเท้าคุณชายเจ้าอารมณ์แปรปรวนประทับหน้าเลยรีบทำตามทันที

สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ เอาตรงๆว่ากีกวังไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่าทุกๆอย่างที่จุนฮยองทำให้เขามันคือการที่ทำให้เขาคนเดียว กลัวความผิดหวัง สุดท้ายเขาก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ลึกๆแล้วเปิดใจให้สิ่งที่เข้ามาแทน

ใครบางที่ให้ความรู้สึกเหมือนกันจนรู้สึกว่ามาแทนที่กันได้จริงๆ

ปี3

“พวกมึง” กีกวังยิ้มร่ามาทางพวกเขาที่กำลังนั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะประจำของพวกเขา

“ไรมึง” เป็นดูจุนที่เงยหน้ามาจากกองชีทที่กำลังจดเลกเชอร์อย่างขยันมาตอบ

“คือกู” กีกวังพูดเกริ่นเล็กน้อยก่อนจะบิดตัวไปมาเหมือนคนปวดท้องจนคนในโต๊ะเริ่มรำคาญและเท้าเริ่มกระตุกแล้ว

“อย่าลีลา อีกนิดตีนกูไปแล้วนะ” โยซอบพูดตัดบทก่อนจะมีใครลงมือไปมากกว่านี้

“เออๆ จะบอกว่ากูมีแฟนละนะ”

“ห้ะ!!”

หัวใจกระตุกวูบหนึ่งจนเขารู้สึกเจ็บ ขอบคุณที่สีหน้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลงจุนฮยองได้แต่มองมือของคนสองคนที่จับกันไว้อย่างแนบแน่นพลางเซหน้าไปทางอื่น ซึ่งสบเข้ากับฮยอนซึงที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

‘โอเคนะมึง??’ จะเรียกว่ามีกระแสจิตก็ว่าได้ เพียงแค่มองหน้าเขาก็รู้ว่าฮยอนซึงอยากจะถามอะไรเขา จุนฮยองพยักหน้าให้ก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคนคนหนึ่งที่เขาถ่ายไว้เป็นคนแรกของกล้องตัวนี้และจะเป็นต่อไปเรื่อยๆ

ความรู้สึกที่ว่าชอบมันชัดเจนขึ้นตอนที่อยู่ใกล้กันบ่อยๆ จริงๆแล้วจุนฮยองเป็นสนิทกับใครค่อนข้างยากขอบคุณที่กีกวังเป็นคนเข้าหาเขาก่อน ถามเขาก่อนจนเขากล้าเปิดใจรับกีกวังมาเป็นเพื่อน แต่สงสัยว่าเขาจะลืมปิดประตูบานนั้น ที่ตอนนี้คนชื่ออี กีกวังเข้าไปจนเต็มหัวใจเขาแล้ว

แต่เขาไม่กล้า บอกตรงๆว่าป๊อดกลัวเสียเพื่อนถึงโดนคนอื่นเอาไปต่อหน้าแบบนี้เลย

ซน ดงอุนรุ่นน้องของพวกเขา1ปี อยู่คณะบริหารแฟนของกีกวังที่ดูเหมือนจะเป็นแสนดีเหลือเกินจนจุนฮยองยอมแพ้หมดแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาอะไรไปสู้

แต่แล้วเหมือนโชคจะเข้าข้างจุนฮยองเข้า

งั้นหรอ

ความที่อยากได้โลเคชั่นแปลกๆในการถ่ายรูปเลยชวนกีกวังที่กำลังว่างระหว่างรอดงอุนเรียนเสร็จไปถ่ายรูปกัน นัยหนึ่งคือเขาขี้เกียจฟังกีกวังสาธยายถึงแฟนเด็กคนนั้นแล้ว

ฟังไปก็เจ็บใจป่าวๆ สู้ไปหาอะไรทำดีกว่า

เลยเดินลัดเลาะเข้าไปในหลังตึกร้างแถวๆคณะของกีกวังเอง ก่อนจะเจอคนสองคนที่กำลังเหมือนจะพลอดรักกัน จุนฮยองรีบกระชากกีกวังที่เหมือนจะไม่รู้ตัวว่าจะไปขัดจังหวะชาวบ้านให้มาหลบหลังกำแพงอีกฝั่งด้วยกัน

แต่เพราะความเงียบของตึกทำให้ได้ยินอะไรชัดเจน

“อืออ ดงอุน” ชิบ

“อ่ะ อ่ะเร็วอีก”

“อือ ดงอุนอ่า” ได้แต่ภาวนาว่าดงอุนในมหาวิทยาลัยนี้จะไม่ได้มีคนเดียว มือเล็กอีกคนเริ่มจับมือของเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆตามเสียงที่ดังขึ้นมา จุนฮยองคิดว่ารีบพาอีกคนออกไปให้เร็วที่สุดคงเป็นการดี

มันช้าไป

“ดงอุนรักพี่มั้ย” เสียงใสของใครซักคนถามคนชื่อดงอุนขึ้นมา พลางทำให้พวกเขาต้องกลั้นหายใจตาม

“รักสิครับ” ชัดเลย เสียงทุ้มที่มักจะเรียกชื่อของกีกวังพร่ำเพรื่อเวลาที่พวกเขาทำงานกันแล้วกีกวังไม่สนใจอีกฝ่าย สาบานว่าไม่ได้จะจำแม่นอะไรหรอก แต่มันใช่จริงๆ

มือเล็กเริ่มสั่นระริกไปพร้อมกับไหล่ของเจ้าตัว กีกวังเอาแต่ก้มหน้าจนเขามองไม่เห็นว่าอีกคนทำหน้ายังไงอยู่

“แต่ดงอุนคบกับกีกวังอยู่นี่”

“นั่นแค่ของเล่นครับ”

พรวด

“เฮ้ยกีกวัง” คนตัวเล็กกว่าปล่อยมือที่จับกับเขาอยู่ก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าไปทางที่ทั้งคู่กำลังพลอดรักกัน จุนฮยองรั้งไม่ทันและไม่คิดว่ากีกวังจะเดินเข้าไปแบบนี้ เลยต้องรีบเดินตามอีกคนไปทันที

ฝ่าเท้าเล็กแต่แรงไม่เล็กตามขนาดยันร่างสูงที่เปลือยกายกอดกับอีกคนที่กีกวังเองก็ไม่รู้จัก เข้าหนึ่งโครมจนร่างสูงกลิ้งไปสองสามรอบตามพื้น ก่อนที่กีกวังจะเดินเข้าไปซ้ำ ดีที่จุนฮยองมาทันแล้วห้ามไว้ทันพอดี

“เออ ต่อไปนี้มึงคงไม่มีของเล่นให้เล่นแล้ว” แล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นด้วยความเร็วสูง จุนฮยองที่ตั้งสติได้ก่อนรีบวิ่งตามคนตัวเล็กไปทันที

“มาอยู่ทำไมตรงนี้วะ” กีกวังสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะใช้มือปาดน้ำตาที่ร่วงลงมาอย่างลวกๆ จุนฮยองทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกันแล้วไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้ความเงียบเป็นสื่อกลางต่อไป

“ฮึก” กลั้นต่อไปไม่ได้แล้ว สุดท้ายเขื่อนน้ำตาที่ไม่อยากให้เพื่อนเห็นก็พังลงมาจนได้ จุนฮยองคว้าคนตัวเล็กกว่ามากอดไว้ คนในอ้อมแขนสั่นอย่างน่ากลัว มือหนาทำหน้าที่ลูบหลังปลอบละโลมเป็นอย่างดีหวังให้อีกคนหยุดร้องไห้ไวๆ

“กูคิดผิดขนาดนี้เลยหรอวะแม่งๆๆๆ”

“…”

“ทำไมวะ กูไม่ดีตรงไหน”

“…”

“กูแม่ง ฮึก อุตส่าห์เปิดใจ”

“…”

“กูอุตส่าห์ลองรักคนอื่นดูที่ไม่ใช่มึงอ่ะ ทำไมยังต้องเจอแบบนี้วะ”

“…”

“โอย ไอห่า กูผิดอะไรวะตอบ” จุนฮยองนิ่งไปแล้วกีกวังสัมผัสได้ อยู่ๆมือที่ลูบหลังก็หยุดลงจนกีกวังต้องผละออกแล้วมองหน้าจุนฮยองที่กำลังทำหน้าอึ้งอย่างงๆ

“อะไรของมึงเนี่ย”

“เมื่อกี้มึงพูดว่าไร” จุนฮยองถามอีกครั้ง เพื่ออยากให้แน่ใจว่าเมื่อกี้เขาฟังไม่ผิด

“ห้ะ”

“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไร”

“กูผิดอะไรวะตอบ”

“ไม่ใช่ก่อนหน้านี้” กีกวังขมวดคิ้วพลางนึกถึงคำที่เขาพูด ชิบหายละ กีกวังยันตัวเองลุกขึ้นก่อนจะเสมองไปทางอื่นแล้วพยายามจะเดินกลับไปเก็บของ แต่ไม่ทันมือหนาที่คว้าข้อมือทันอยู่ดี

“มึงบอกว่ามึงรักกู”

“…”

“ใช่มั้ย?? มึงบอกใช่มั้ย”

“….” คนที่เพิ่งร้องไห้จนหน้าแดงเริ่มหน้าแดงมากขึ้นเมื่อจุนฮยองเริ่มเอาตาคมมาคาดคั้นคำตอบจากเขา สายตาที่เขาไม่เคยที่จะสบกันได้เกินสิบวินาทีเลย

“ใช่มั้ย มึงบอกกูดิ!”

“เออ กูบอกว่ากูรักมึงพอใจยังแต่มึงไม่รักกูนี่กูก็ต้องตัดใจป่าววะ” สะบัดแขนให้ออกจากเกาะกุมของอีกคนก่อนจะพยายามเดินหนีไปให้ไกล

นี่มันวันซวยอะไรของเขาวะ

แต่ก่อนจะได้ทึ้งผมทิ้งอารมณ์ท่อนแขนของคนที่คาดคั้นเอาคำตอบเมื่อกี้ก็เข้ามาสวมกอดจากด้านหลังจนแน่น พลางกระซิบใกล้หูของคนในอ้อมแขน

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่รักมึง”

“…”

“บางทีกูก็อาจจะรักมึงอยู่ก็ได้”

ห่าเถอะ ทำไมเลือกเวลาสารภาพรักได้แย่แบบนี้วะแม่งเอ๊ย

THE END

“นั่นไงกูว่าแล้ว” โยซอบพูดขึ้นหลังจากที่กีกวังและจุนฮยองเปิดตัวคบกันแบบจริงจังได้ซักที สายตาที่สองคนนี้มองก่อนทำไมเขาจะไม่รู้เล่าวะ เสียดายที่พวกมันสองคนไม่รู้กันเองซะนี่

“ฮยอนซึงใครบอกมึงว่าไอจุนฮยองมันชอบกีกวังวะ” ดูเหมือนดูจุนจะกลายเป็นคนไม่รู้เรื่องที่สุด จนอีกสองคนต้องสาธยายให้ฟังแทน

“ไหนๆก็เป็นแฟนกันแล้วเลี้ยงข้าวพวกกูเลย”

“ก็เห้ละครับ” ทั้งกีกวังและจุนฮยองตอบมาพร้อมกันโดยทันที

“แหม่ ตั้งแต่เป็นแฟนกันนี่อะไรก็ตรงใจไปซะหมดเนอะพวกมึงงงง”

(fic) junkwang – 잘 자요(GN.)

Title: 잘 자요(GN.)

Pairing: JunKwang (Junhyung & GiKwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

NOTE : แนะนำ กรุณาเปิดเพลง 잘 자요 ไปด้วยนะคุณ

ขอบคุณคำแปลจากนี้มากๆเลยค่ะไม่งั้นคงไม่ได้ฟิคนี้

 

 


 

“กลับมาแล้วครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรงทั้งที่ทั้งห้องมีเขาเพียงคนเดียว ขายาวค่อยๆพาร่างตัวเองไปที่โซฟาก่อนจะล้มตัวลงนอนไม่แม้แต่จะเปิดไฟด้วยซ้ำ เขาเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น

 

ครืด ครืด

 

เสียงเครื่องมือสื่อสารบ่งบอกว่ามีข้อความเข้า ตาคมเพียงแค่ปรายตามองก่อนจะใช้เวลาร่วมกว่า10นาทีในการหยิบมันขึ้นมาดู

 

ถึงห้องยังครับ? – My smile

 

เขาตัดสินใจโทรหาเจ้าของข้อความทันที แม้ว่าตอนนี้อาจจะรบกวนเวลาของอีกคนก็ตาม ขอแค่แปปเดียวเขาก็พอใจแล้ว ได้แต่ภาวนาให้อีกคนรับเท่านั้น

 

/ครับ?/

 

“ถึงห้องแล้วนะ”

 

/อ่าครับ/ ความเงียบโปรยตัวลงมาทันทีอีกคนเอ่ยเสร็จแต่ต่างคนต่างไม่มีใครวางสายเลย เขาได้แต่ปล่อยให้อีกคนทำงานต่อไปส่วนเขาทำเพียงแค่นอนคว่ำลงกับโซฟาแล้วหลับตาฟังเสียงจนเกือบเคลิ้มหลับ ถึงได้ยินเสียงอีกคนเรียกอีกครั้ง

 

/พี่จุนฮยอง?/

 

/พี่??/

 

“อืม ว่า”

 

/กินข้าวยังครับ?/ เขาเงียบเสียงเป็นการตอบว่ายัง เสียงปิดไฟจากอีกฝั่งทำให้รู้ว่านี่คงถึงเวลาปิดร้านพอดี เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบอะไรอีกคนก็ถามเขาต่อทันที

 

/ให้ไปหามั้ยครับ?/

 

“ยังต้องให้ถามรึไง วันนี้วันศุกร์นะ” มือหนาตัดสายทันทีก่อนจะนอนต่ออีกซักพัก คงอีกพักใหญ่ๆกว่าที่อีกคนจะมา เขาขอพักซักหน่อยแล้วกัน

 

ยง จุนฮยองเจ้าของแบรนด์น้ำหอมชื่อดัง ตัวแบรนด์ที่นอกจากจะมีรูปลักษณ์สวยงามแล้วยังสามารถสื่อได้ถึงกลิ่นของน้ำหอมได้อย่างดีแถมยังมีน้ำหอมหลากหลายเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ถือว่ากำลังตีตลาดได้เป็นอย่างดี แต่เพราะยังเป็นแบรนด์น้องใหม่เพิ่งเข้าวงการแค่สองสามปีเลยต้องอยู่ในช่วงพิสูจน์ฝีมือให้มาก ไม่แปลกที่เขาเองต้องออกสังคม เข้าประชุม เดินสายยิ่งกว่านักร้องออกอัลบั้ม

 

เหนื่อยแต่เขาก็ชอบ

 

แม้จะมีโมเม้นท์ไม่สนุกบ้างก็ตาม

 

จากที่เคยยืนคนเดียวตลอดสุดท้ายบางทีเขาก็อยากได้ใครซักคนที่อยู่ข้างๆเขา แค่ยืนบีบนวดไหล่ให้เขาแล้วบอกเขาว่าสู้ๆนะ แค่นี้ก็พอแล้ว

 

จนวันหนึ่งเหมือนฟ้าจะเห็นใจ เมื่อเขาไปร้านอาหารของน้องเพื่อนที่เปิดใหม่

 

เป็นวันที่เขาเจอกับอี กีกวัง

 

อี กีกวังเป็นน้องชายของเพื่อนเขาแทบไม่มีอะไรพิเศษธรรมดาไปหมด แต่เพราะความธรรมดาที่เขาไม่เคยมีจากที่ชีวิตที่ต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา ทำให้เขาตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มนั่น

 

รอยยิ้มที่ช่วยฮีลเขาโดยที่เขารู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

 

รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เลขาเขาบอกว่าน้ำหนักเขาขึ้นจากการไปกินอาหารอิตาเลี่ยนร้านของกีกวังอาทิตย์ละห้าวัน

 

เลยขอเป็นแฟนซะเลยไหนๆก็ไหนๆแล้ว

 

ในวันที่เขาเปิดตัวคอลเลคชั่นน้ำหอมชุดใหม่ ‘Healing Smile’ กลิ่นหอมของโรสแมรีจางๆที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายกับคนฉีดแล้วยังทำให้คนได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายไปด้วยเช่นกัน

 

จนตอนนี้ปีกว่าแล้วกีกวังยังไม่เปลี่ยนน้ำหอมเลยตั้งแต่เขาให้ในวันนั้น

 

 

 

 

แกร่ก

เสียงเปิดประตูพร้อมกับการเปิดไฟ ทำเอาคนที่นอนอยู่ต้องหลับตาแน่นเพื่อหลบแสงไฟนั้นทันที เสียงฝีเท้าของอีกคนที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับมือเล็กที่ค่อยๆนวดคลึงตรงไหล่ของเขา อดไม่ได้ที่จะครางด้วยความพึงพอใจ

 

“พอดีผมเดินผ่านร้านจัมปงดูน่ากินเลยซื้อมาให้อ่ะครับ” ถุงดำถูกยื่นมาอยู่ในระดับสายตา โดยมีจัมปงสองชามอยู่ข้างใน เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลุกขึ้นมาเตรียมตัวกินมื้อเย็นในเวลาสามทุ่มแบบนี้

 

ส่วนอีกคนก็วิ่งเข้าไปในห้องครัวเพื่อเอาน้ำและแก้วน้ำมาให้เขาแล้วหายไปทางห้องน้ำแทน

 

“อ้าวไม่กินหรอ”

 

“ผมกินมาแล้ว กินให้หมดเลยนะซื้อมาตั้งเยอะ”

 

แล้วจะซื้อมาเยอะทำไมเล่าว้อย เขาได้แต่เถียงในใจเมื่อคนตัวเล็กเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเป็นที่เรียบร้อย เขาเลยต้องจัดการอาหารตรงหน้าให้หมด

 

 

 

“มานั่งนี่ครับ” เมื่อเห็นอีกคนออกมาจากห้องน้ำเจ้าคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์ของเขาอยู่บนเตียงลุกขึ้นมาแล้วบอกให้เขานั่งตรงปลายเตียงแทน ผ้าเช็ดผมที่พาดไว้ที่ไหล่ถูกอีกคนหยิบไปก่อนจะเช็ดผมให้เขาพร้อมกับนวดศีรษะไปด้วย

 

“นั่งนี่”

 

“มันไม่ถนัดนะครับ”

 

“จะให้นั่งแบบนี้” แขนของเขาค่อยๆรอบเข้ากับเอวเมื่อรั้งให้อีกคนมานั่งตักเขาจนได้ แม้จะดูลำบากในการเช็ดผมแต่ก็ไม่การขัดขืนใดๆ หัวเขาค่อยๆซบลงกับไหล่ของอีกคนที่ดูเหมือนจะบางลงยังไงไม่รู้

 

“กินอะไรบ้างป่าวเนี่ยทำไมดูผอมลง”

 

“ผอมลงที่ไหนละครับผมน้ำหนักขึ้นด้วยนะ” แขนกอดรัดเอวอีกคนไว้แน่นกว่าเดิม กีกวังชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้อีกคนที่ดูจะงอแงเบาๆ ลงมือเช็ดผมให้เรียบร้อยก่อนที่หวัดจะกิน

 

“นอนกันเถอะครับ”

 

จะบอกว่านอนก็นอนจริงๆนั่นแหละ แม้ว่าจะปิดไฟทั่วทั้งห้องไปแล้วแต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเขายังเห็นหน้ากีกวังชัดขนาดไหน อีกคนก็ส่งยิ้มมาให้ก่อนที่มือเล็กนั่นจะจับปลายผมเขาเล่นไปมา

 

“เหนื่อยมากมั้ยครับ” ตาใสจ้องหน้าเขาไม่เลิกแต่มือยังคงเล่นอยู่กับผมของเขาจนเขาเผลอเคลิ้มไปตาม ชอบจริงๆเวลาอีกคนทำอะไรแบบนี้ มันฮีลเขาได้จริงๆ

 

“เหนื่อย แต่ตอนนี้หายละ”

 

“ไม่โกหกสิครับ” คิ้วหนาแทบจะขมวดเป็นปม จนจุนฮยองอดหัวเราะไม่ได้คนอะไรวะ น่ารักชิบ ไวเท่าความคิดปากอิ่มของอีกคนถูกปิดด้วยปากของเขาเอง เป็นการแตะริมฝีปากกันแต่เขากลับรู้สึกเหมือนได้รับพลังบางอย่างจากอีกคน

 

“หลับเหอะง่วง” ผละจากปากอิ่มนั้นเสร็จจุนฮยองค่อยถดตัวเองลงไปซบกับอกอีกคน ออกแรงกอดให้แน่นขึ้นแต่ไม่ทำให้อีกคนรู้สึกอึดอัดจนเกินไป มือเล็กยังคงอยู่บนกลุ่มผมของเขาเกลี่ยผมไปมาเหมือนเป็นการกล่อมให้เขาหลับฝันดี

 

 

 

 

การได้มองใครซักคนตอนที่กำลังหลับตาอยู่ล้วนแต่ให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูทั้งนั้น โดยเฉพาะคนในอ้อมแขนเขาอย่างกีกวังแล้ว จะบอกว่าเขาหลง รัก ชอบ ทุกอย่างที่รู้สึกได้กับคนๆนี้เลย คนขี้เซายังคงหลับสนิทอยู่ตรงอกเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเปลี่ยนโพสิชั่นกันตอนไหน แต่จุนฮยองจะแคร์ทำไมละในเมื่อถึงเวลาปลุกอีกคนแล้ว

 

มือหนาบีบจมูกของอีกคนเอาไว้ คิ้วหนานั่นค่อยขมวดเข้าหากันตาใสๆลืมตามองเขาด้วยความเคืองก่อนจะเป็นเขาที่ยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้

 

“อรุณสวัสดิ์”

 

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

 

 

จานใบโตถูกทิ้งไว้พร้อมกับแซนด์วิซน้อยอีกสามชิ้น ข้างๆกันเป็นแก้วบรรจุน้ำผลไม้ไว้สองแก้วถูกละเลยจากบุคคลที่อยู่ในห้องที่กำลังเข้าสู่ภวังค์ของแต่ละคน

 

“พี่จุนฮยองครับ” เสียงของคนที่หนุนตักเขา ทำให้จุนฮยองต้องละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดมามองอีกคน ที่เหมือนว่าจะปิดหนังสือของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“หืม?”

 

“ไปเดินเล่นกัน”

 

 

 

“ไหนบอกไปเดินเล่นไง” แขนเขายังคงรอบเอวอีกคนที่กำลังปั่นจักรยานด้วยความเร็ว จนเขากลัวว่าจะล้มกันซักที่แน่ๆ

 

“ว้าว ดูสิครับ” คนปั่นชี้ไปที่แม่น้ำที่กำลังมีตะวันตกดิน จุนฮยองเองก็หันไปมองตามก่อนจะกระชับแรงกอดมากขึ้นเมื่ออยู่ๆอีกคนก็เร่งความเร็วจนเขาแทบตก ไม่ทันจะเอ็ดอะไรอีกคนก็หัวเราะเสียงใสกลับมาจนเขาลืมไปหมดว่าจะบ่นอะไร

 

ความมืดเข้ามาแทนที่ทันทีที่ตะวันลาขอบฟ้าไป คนสองคนที่เอาแต่เดินเอื่อยๆไปเรื่อยมาตางทางหลังจากที่เอาจักรยานไปคืนแล้วก็ต้องมาเดินกลับคอนโดกันอีก มือหนาค่อยๆกระชับมืออีกคนแน่นๆจนอีกคนต้องหันมามองด้วยความสงสัย

 

“ขอบคุณนะ”

 

“ครับ?”

 

“รักนะ”

 

“เหมือนกันครับ” รอยยิ้มที่เหมือนกับพลังที่ค่อยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าถูกส่งมาให้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหนเขาไม่เคยแสดงให้ใครเห็นยกเว้นคนๆเดียว คนที่ธรรมดาแต่สำหรับเขาพิเศษกว่าอะไรใดๆ

 

เขาถึงขอบคุณที่อีกคนยังอยู่ตรงนี้เสมอ

 

 

 

THEEND

 

 

 

(fic) junkwang – After

Title: After

Pairing: JunKwang (Junhyung & GiKwang)

Rate: PG

Author: red.bunny

 

Note: เรียกว่าเพิ่งฟังAfter this momentมาประมาณพันรอบ แต่เนื้อหาฟิคไม่ได้เกี่ยวกันหรอก แค่อยากบอกเฉยๆอ่ะ

 

 

 

———————————————————–

 

 

เหตุผลที่คนเราเลิกกนมันมาร้อยแปดพันเหตุผล ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน ไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน จากกันด้วยดีแต่ทางที่ดีคือไม่เจอกันอีกก็คงจะดีกว่า

 

แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาแล้ว

 

พอคิดว่าตัวเองจะทำใจได้เมื่อต้องเจอกัน แต่เอาจริงๆเขากลับป๊อดเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ ผ่านมานานแล้วก็แล้วยังไงละ เขายังทำใจไม่ได้มันผิดรึไง

 

“เอาไงกีกวัง ไม่ทำก็ได้นะ” พอเห็นสีหน้าไม่ดีของอีกคนเลยอดที่จะถามไม่ได้ นักแสดงน้องใหม่ที่กำลังเป็นดาวรุ่งอยู่ขนาดนี้กำลังนั่งมองแผ่นกระดาษที่เป็นรายละเอียดของงานในอีกสามวันข้างหน้า มันไม่ได้ยากแค่แสดงเอ็มวี แต่ดูเหมือนคนในปกครองเขาจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เขาก็ไม่อยากจะบังคับเจ้าตัวหรอก

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้หน่า” หันมายิ้มแห้งๆให้คนอายุมากกว่า ส่งกระดาษสัญญาที่เซ็นแล้วให้เสร็จก็นั่งเหม่อเรื่อยเปื่อยต่อไป

 

ทั้งๆที่คิดว่าหนีมาพ้นแล้ว แต่ไม่ใช่เลย

 

เขาเป็นคนวิ่งกลับมาเองต่างหาก

 

 

 

 

สตูดิโอG

 

“อ่ะนี่ข้อมูลของพระเอกนางเอกเอ็มวี” ซองสีน้ำตาลขนาดบางๆถูกวางแหมะไว้ตรงหน้าของยง จุนฮยองโปรดิวซ์เซอร์และนักร้องที่กำลังออกโซโล่เพลงของตัวเองอยู่ มือหนาหยิบซองขึ้นเปิดซองข้างในเพื่ออ่านข้อมูลคร่าวๆ เพื่อที่เขาจะต้องบรีฟกับสองคนในอีกสามวัน

 

“หืม? อี กีกวัง??” เสียงทุ้มเปล่งออกมาด้วยความส่งเสียง แทจูที่นั่งข้างๆเลยต้องหันมาอธิบายให้เพื่อนของเขาฟัง

 

“นี่ไม่รู้ไรเลยสิเนี่ย อี กีกวังเป็นนักแสดงในบริษัทเราที่กำลังมาแรงเลยนะช่วงนี้ ภาพลักษณ์น้องชายข้างบ้านนี่ฮิตกันจริงๆเนอะ เออแล้วก็ได้ยินว่า…” เสียงที่เพื่อนเขาไม่ได้เข้าหูของจุนฮยองเลยตั้งแต่ที่เขาหยิบรูปของเจ้าของชื่อขึ้นมาดู

 

 

 

ชายหนุ่มที่แต่งเพลงให้แฟนเก่าเพื่อบอกเธอว่าเลิกจมอยู่กับคนขี้ขลาดอย่างเขาเถอะ เธอสามารถที่จะหาคนที่ดีกว่าเพื่อที่จะดูแลเธอได้ดีกว่าเขา เขาผู้ชายที่ขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้แต่จะปลอบใจของเธอแม้แต่ตอนเลิกกันคนนี้ก็จะได้สบายใจซักทีเมื่อเห็นเธอมีความสุข แล้วเขาก็จะไปมีความสุขเช่นด้วยกันโดยไม่ต้องห่วงเธอ (No more) แต่จริงๆเขากลับไม่เคยลืมเธอได้เลย แต่เมื่อเลือกที่จะปล่อยมือเธอไปแล้ว เขาจะพยายามลืมเธอให้ได้ หลังจากที่จบเพลงนี้ไปเขาภาวนาว่าตัวเองจะสามารถเทความทรงจำที่เกี่ยวกับเธอให้ออกจนหมดใจ แต่ยังหวังให้เธอจำเรื่องราวระหว่างเธอกับเขาได้บ้าง (After this moment)

 

อึดอัดใจ

 

เขารู้สึกได้ แม้แต่ตอนขยับตัวเองยังร้สึกอึดอัดใจจนพาลให้หายใจไม่ทั่วท้องซะงั้น

 

ดูเหมือนพี่ผู้จัดการจะสังเกตเห็นความผิดปกติของนักแสดงหนุ่มเลยเดินเข้ามาถามคนที่เอาแต่ขมวดคิ้ว แล้วก็ขยับตัวไปมาเหมือนไม่สบาย

 

“เป็นไรกีกวัง” มือหนาแตะเข้าที่ไหล่ จนอีกคนสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะหันมามองรอบห้องเมื่อเกือบทุกสายตามองมาทางเขา

 

รวมทั้งสายตาคมที่มองเขาตั้งแต่เดินเข้ามา

 

“เออคือผม” ปากอิ่มเม้มเข้าหากันจากการจะคิดหาคำพูดไหนมาบอกดี

 

“ไหวมั้ยกีกวัง ไปพักก่อนก็ได้นะบรีฟเสร็จแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เริ่มถ่าย” ผู้กำกับบอกเชิงให้อนุญาตให้คนตัวเล็กออกไปได้ เจ้าตัวรีบผุดขึ้นโค้งขอบคุณแล้วเดินออกไปทันที

 

โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครบางคนที่มองจนคนตัวเล็กออกไปจนสุดทาง

 

 

 

“อะไรนะ!!” ทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวจากเพื่อนรักทำเอายังโยซอบต้องตกใจ จนแทบจะลุกจากเก้าอี้แล้ว ดีที่ว่าร้านนี้เขารู้จักกับเจ้าของเลยมานั่งอยู่ด้านในสุดค่อนข้างส่วนตัว

 

“เพื่อนฉันหูไม่ดีตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย” พูดจบมือเล็กของโยซอบก็เคาะเข้าบนหัวของกีกวังทันที

 

“ยังจะเล่นอีกนะ แล้วทำไงละ”

 

“ทำไงละ ดีที่ผู้กำกับให้กลับได้อ่ะ” หลังจากเล่าเหตุการณ์ให้อีกคนฟังดูเหมือนอีกคนจะเข้าใจเขาดีที่สุด

 

ยง จุนฮยองกับอี กีกวัง เคยเป็นแฟนกันสมัยมหาวิทยาลัย

ตอนเป็นแฟนกัน ก็ดูรักกันมากจนคิดว่าน่าจะไปด้วยกันจนสุดทางด้วยซ้ำ แต่แล้วอยู่วันหนึ่งวันที่พวกเขาคบกันได้เกือบจะสามปีแล้ว อยู่ๆเพื่อนรักเขาก็กดออดหน้าบ้าน พอถามก็บอกแค่เลิกกันแล้ว ไม่มีน้ำตา ไม่มีคำอธิบายแต่ตาที่บวมเป่งของเจ้าตัวก็บอกเขาได้ทุกอย่าง

 

กว่าจะฟื้นได้จนยิ้มได้แบบนี้ก็ปาไปเกือบปี

 

สองปีที่ทั้งคู่ไม่เจอกันเลย บทจะเจอกันมันก็ง่ายขนาดนี้เลยหรอ

 

“ฉันโตแล้วนะโยซอบ” เห็นสีหน้ากังวลของเพื่อนรัก กีกวังเลยต้องยิ้มตาหยีมาให้ว่าเขาโอเคจริงๆ เขาว่าเขาโอเค

 

“อื้ม ฉันจะเชื่อว่าแกโอเคจริงๆ”

 

 

 

 

ตาคมมองไปที่คนที่กำลังแต่งตัวอยู่ เสื้อแขนยาวสีขาวสลับดำพร้อมกับกางเกงยีนส์ดูจะพอดีกับอีกคน ผมสีดำของเจ้าตัวถูกเซทให้ยุ่งๆแต่ไม่ดูหยิกงอมากเกินไป มองแล้วทำให้คิดถึง

 

จะรู้มั้ยนะว่าเขาแต่งเพลงให้เจ้าตัวนั่นแหละ

 

พอคิดได้แบบนี้ก็อยากจะล้มโปรเจคที่เขาเองเป็นคนคิดซะ ใครจะรู้ว่าจะได้แฟนเก่ามาแสดงเป็นตัวเองละ

 

บอกตรงๆว่าลืมไม่ได้ ลืมไม่ลง พยายามแล้วพยายามเหมือนเพลงที่เขาแต่งแล้ว แต่มันไม่ได้เลยเหตุผลที่ยังอยากจะจำมันมีมากกว่าที่จะลืมได้ อยากเข้าไปทักเข้าไปกอดให้หายคิดถึงซักครั้ง

 

แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำมาอีกคนรู้สึกกับเขาแบบไหนอยู่ตอนนี้

 

“อ่ะ” พอดึงตัวเองออกมาได้ คนที่เขาเผลอมองเมื่อกี้ก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขา พร้อมกับยิ้มให้ก่อนจะโค้งสวัสดีแล้วเดินจากไปทักทายคนอื่นต่อ

 

ยิ้มแบบนั้นไม่สดใสเลยอี กีกวังอา

 

 

“พี่จุนฮยอง” พูดเห็นว่าไอศกรีมในถ้วยตัวเองหายไปเกินครึ่งแต่อีกคนที่นั่งตรงข้ามยังไม่กินซักที ยกเว้นก็แต่เชอร์รี่ด้านบนเท่านั้น พอหันมามองก็จับแต่โทรศัพท์เล่นอยู่นั่น เลยจัดการหยิบมาทั้งที่อีกคนยังพิมพ์นั่นแหละ

 

“นิสัยไม่ดี” คนยึดโทรศัพท์มาทำลอยหน้าลอยตาก่อนจะกดดูว่าเมื่อกี้อีกคนทำอะไร

 

“เฮ้ยแอบถ่ายอ่ะ” เปิดมาก็เจอแอปถ่ายรูปที่เปิดค้างพร้อมกับรูปของตัวเอง

 

“ไม่ได้แอบเลยนะ คนบางคนหิวจนไม่สนอะไรหน่ะสิ” ได้ยินประโยคนี้จบความหมั่นไส้เลยบังเกิดเปิดโหมดมาใช้กล้องหน้าก่อนจะแอบถ่ายอีกคนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

 

“โอย หน้าโคตรเหวออ่ะฮ่าๆๆ” กลายเป็นสุดท้ายจุนฮยองก็แพ้กีกวังอยู่ดี

 

“โอเคครับ ดีมากเดี๋ยวเราถ่ายฉากต่อไปเลยเนอะ” เสียงคัทที่ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิด ทำให้จุนฮยองต้องหันมาสนใจภาพเบื้องหน้าที่เป็นกีกวังและนักแสดงสาวที่กำลังเดินไปถ่ายที่ลานสเก็ตกันต่อ

 

“พี่จุนฮยองงงงง” เสียงเรียกตลอดทั้งที่ที่เจ้าตัวกำลังไถลบอร์ดไป แม้ว่ายังจับมือของเขาไว้แต่เจ้าตัวก็เอาแต่เรียกเขาอยู่เหมือนเขาจะหายไปไหน

 

“กีกวังงงงง” เลยแกล้งเรียกอีกคนบ้าง ตาเรียวมองค้อนได้ซักพักแต่ยังไม่กล้าปล่อยมือจากเขาอยู่ดี

 

“พี่จุนฮยองงง”

 

“กีกวังงงงง” กลายเป็นว่าพวกเขาสลับกันเรียกชื่อกันไปมา แต่คนตัวเล็กก็ยังเล่นไม่ได้อยู่ดี

 

“พี่กีกวังเล่นเป็นด้วยหรอคะ” เสียงหวานของนักแสดงสาวที่เดินมาด้วยทักขึ้นเมื่อเห็นอีกคนไถลบอร์ดไปตามลานอยู่คล่องแคล่ว

 

“ก็พอเล่นได้ครับ โซฮยอนอยากลองมั้ย” หันมาจับมืออีกคนให้ลองดูบ้าง โดยที่เขาเป็นคนให้สาวเจ้าเกาะไหล่ไว้

 

 

 

 

เพราะว่าตารางที่อัดแน่นของทั้งสองนักแสดงเลยต้องรีบถ่ายให้เสร็จภายในสองวันเต็มโดยที่พวกเขาก็ไม่ได้นอนกันเลย กว่าจะเสร็จก็หกโมงเย็นของอีกวันแล้ว พี่ผู้จัดการของกีกวังดันมาขอตัวกลับก่อน ดีที่แถวนี้อยู่ใกล้กับคอนโดของกีกวังพอดี เดินไปคงไม่น่าจะเป็นปัญหา

 

พรึ่บ

 

“เฮ้ย” หลังจากแยกตัวมา กีกวังก็มาเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในห้องแต่ดูเหมืนอว่าทางทีมงานจะลืมคงนึกว่าขากลับไปแล้วพร้อมผู้จัดการเลยปิดไฟทิ้งเขาไว้แบบนี้

 

“มีคนอยู่มั้ยครับ ผมยังอยู่ตรงนี้นะเปิดไฟทีครับ” ตะโกนก็แล้วยังไงก็ไม่มีใครมาซักที แล้วเขาควรทำยังไงละ โทรศัพท์ก็แบตหมดไปแล้ว

 

 

“อ้าวโซฮยอนแล้วกีกวังละ” พอเห็นว่ามีแค่นางเอกที่เดินออกมา แต่ยังไม่เห็นพ่อพระเอกเลยแถมเขาก็ไล่ปิดไฟกันแล้วไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน

 

“ไม่ได้กลับพร้อมพี่ผู้จัดการหรอคะ” จุนฮยองส่ายหัวให้คำตอบก่อนจะลองมองซ้ายมองขวาหาคนตัวเล็ก

 

“สงสัยยังอยู่ในห้องแน่” พร้อมกับฝากให้หญิงสาวฝากขอบคุณผู้กำกับ ก่อนเขาจะวิ่งกลับขึ้นหาอีกคนทันที

 

“เฮ้ ไม่มีใครอยู่เลยหรอ” คงพักยังไม่ได้พักติดต่อกันหลายชั่วโมง ข้าวปลาก้ยังไม่ได้กินเลยพาลจะหมดแรงกันไป ตอนนี้แรงยืนอยู่เฉยๆเขาแทบจะหมดแล้วด้วยซ้ำ

 

แกร๊ก

 

เสียงปิดประตูเปิดดูจะเรียกความสนใจจากคนในห้องได้ทันที

 

“กีกวัง!! / พี่จุนฮยอง?” อีกคนตกใจอีกคนงงงวย คนอายุมากกว่ารีบเดินเข้ามา ก่อนจะได้พูดอะไรแขนยาวก่อนโอบเอาทั้งร่างของกีกวังเข้าอ้อมกอดทันที เสียงหัวใจอีกคนเต้นแรงบ่งบอกได้เลยว่าอีกคนรีบมาขนาดไหน

 

“นึกว่าเป็นอะไรไปแล้ว”

 

“เออ คือผม” บรรยากาศไม่ได้อึดอัดแต่ก็ไม่ควรที่จะอยู่ในสภาพแบบนี้ กว่าที่คนกอดจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปเกือบนาทีแล้ว

 

“ขอโทษ”

 

 

 

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ตอนแรกก็ปฏิเสธแทบตายแต่อีกคนก็ไม่ยอมเหมือนกันว่าจะมาส่งให้ได้ เลยต้องยอมให้มาส่งถึงห้อง

 

“กีกวัง” ก่อนที่ประตูจะปิดลง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วก็ได้ที่เขาจะได้พูดออกไป

 

“ครับ??” ตาเรียวนั้นจ้องแป๋วมองเขาอยากที่จะรู้ประโยคถัดไปของคนที่เอาแต่ยืนค้ำประตูเขา

 

“คือ..”

 

“…”

 

“คือ เพลงที่กีกวังแสดงหน่ะ”

 

“ครับ”

 

“พี่แต่งให้กวังนะ”

 

“…”

 

“ขอโทษที่เพิ่งพูดเอาตอนนี้ว่ายังรักอยู่ไม่รู้ว่ากวังยังคิดเหมือนพี่มั้ย” ตาคมเอาแต่จ้องคนที่ก้มหน้าชิดอกตัวเองตั้งแต่ที่เขาเริ่มพูดคำว่าขอโทษออกมา ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าอีกคนแสดงสีหน้าแบบไหน แต่ไหล่ที่สั่นอยู่บอกได้ดีว่า เขาทำอีกคนร้องไห้อีกแล้ว

 

“…”

 

“พี่มันเห็นแก่ตัว ทั้งที่ตอนแรกบอกให้กวังลืมแต่เป็นพี่เองที่จะไม่ลืมกวังซักที” มือหนาเอื้อมไปหมายจะลูบผมสีดำสนิทนั่น เขาทนไม่ได้ทุกทีกับน้ำตาของคนคนนี้ แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอย่างที่หมาย แรงผลักจนเขาเสียงออกไปนอกห้องพร้อมกับการปิดประตูเหมือนกับไล่เขากลายๆ

 

แต่จุนฮยองยังไปไหนไม่ได้ เขาตั้งใจแล้วว่าเขาจะทำอะไร

 

“ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ละ”

 

“พี่”

 

“บอกตอนที่ผมคิดว่าผมสามารถยืนได้เองได้แล้วอ่ะ” เสียงพูดปนมากับเสียงสะอื้นจนเกือบฟังแทบไม่ออกยังคงดังมาเรื่อยๆ จุนฮยองหันหน้าเข้ากับประตูเหมือนกำลังพูดและฟังคนจากอีกฝั่ง

 

“พี่ขอโทษ”

 

“สุดท้ายผมก็ยังคิดถึงพี่ตลอด แล้วพี่ก็ทำให้ผมดีใจแบบนี้อีกพี่ต้องการอะไรจากผมละ บอกผมทำไมละ” ประตูถูกเปิดกะทันหันทำเอาจุนอยองตกใจเบาๆ เมื่ออีกคนเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตามันแทงใจจนเจ็บเบาๆ เอาอีกแล้วจุนฮยองทำกีกวังร้องไห้อีกแล้ว

 

“กลับมาคบกันมั้ย”

 

“พี่อยากเริ่มใหม่”

 

“พี่ยังมีโอกาสมั้ย?”

 

 

 

END